เรื่องน่าอ่าน

“คิวปิด” กับ “ไซคี” ตำนานรักที่นรกมิอาจกั้น สวรรค์มิอาจขวาง...

       “คิวปิด” (Cupid) เทพแห่งความรักที่คอยยิงศรบันดาลให้คนหนุ่ม-สาวเกิดความรักระหว่างกัน หรือ “กามเทพ” เวอร์ชั่นตะวันตก เป็นชื่อภาษาละตินของโรมัน ส่วนปกรณัมกรีกซึ่งเป็นฉบับออริจินัลเรียกว่า “เอรอส” (Eros) แม้มีภาพลักษณ์เป็นเทพเด็กรูปร่างหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แต่คิวปิดในตำนานเก่าแก่ก็มีเรื่องราวความรักระดับมหากาพย์เป็นของตนเองด้วย เรื่องนี้ถูกเล่าโดย อาพุเลอัส (Apuleius) นักประพันธ์ชาวละตินในคริสต์ศตวรรษที่ 12
      แต่ก่อนอื่น ขอให้ทุกท่านลืมภาพ คิวปิด ในร่างเด็กน้อยมีปีกง้างศรยิงคนโน้นคนนี้ไปทั่วเสียก่อน เพราะ คิวปิด ในตำนานนี้ คือเรื่องราวของเทพหนุ่มรูปงามกับสตรีเลอโฉมที่สุดคนหนึ่งในปกรณัมกรีก-โรมัน ซึ่งเป็นความรักฉบับคนวัยหนุ่มสาว ต้องพบเหตุการณ์และบททดสอบนานัปการ เต็มไปด้วยแรงปรารถนา ความริษยา และความพากเพียรเพื่อให้ได้มาซึ่ง “ความรัก” และ “ความสมหวัง” เรียกได้ว่าครบทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง ประหนึ่งเป็นเรื่องราวของมนุษย์ทั่ว ๆ ไป...
      เรื่องราวเริ่มต้นจากธิดาคนสุดท้องของราชามนุษย์ผู้หนึ่ง นางเป็นสาวงามแรกแย้มที่งามล้ำกว่าพี่สาวอีกสองคน ชื่อเสียงความงามนั้นมากจนผู้คนพูดกันว่า งามยิ่งกว่า “วีนัส” (อะโฟรไดท์) เทพีแห่งความงามและความรักเสียอีก คนทั้งหลายจึงเทิดทูนบูชาความงามของนางแทนการบูชาองค์เทพี วิหารเทพีวีนัสถูกปล่อยทิ้งร้าง เพราะคนหันเหความสนใจไปที่นางผู้เดียว ธิดาราชามนุษย์นางนั้นชื่อ “ไซคี” (Psyche)
      ความงามของ ไซคี สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงสรวงสวรรค์ เทพีวีนัสพิโรธกับเรื่องที่เกิดขึ้น พระนางมอบหมายบุตรชาย ซึ่งเป็นเทพหนุ่มรูปงามนาม “คิวปิด” ให้ใช้อิทธิฤทธิ์กลั่นแกล้งไซคีให้หลงรักสิ่งมีชีวิตอัปลักษณ์น่ารังเกียจเสีย แต่เมื่อคิวปิดได้เห็นไซคี เทพหนุ่มคล้ายโดนเทวศาสตราของตนซะเอง แผนการของเทพีวีนัสจึงล้มเหลว ไซคีไม่ได้ตกหลุมรักสิ่งอัปลักษณ์ใดทั้งสิ้น
      แต่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับไซคี ไม่มีบุรุษใดมาสู่ขอนางเลย ขณะที่พี่สาวทั้งสองได้อภิเษกกับราชาต่างเมือง แต่ธิดาองค์น้อยผู้เลอโฉมกลับถูกปล่อยให้ครองโสดอย่างโดดเดี่ยว กระทั่งบิดาและมารดาของนางได้รับการแจ้งจากเทพพยากรณ์แห่งวิหารอพอลโลว่า ชะตากรรมของไซคีถูกลิขิตให้ครองคู่กับปีศาจงูมีปีก จงนำนางไปคอยเขาบนยอดเขา เพื่อความปลอดภัยของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับนาง...
      แม้ครอบครัวของไซคีจะโศกเศร้าต่อเรื่องดังกล่าว แต่คำของเทพพยากรณ์คือเทวบัญชา พวกเขาต้องทำตาม ไซคีถูกปล่อยให้คอยสวามีที่น่าสะพรึงกลัวของนางบนยอดเขาแห่งหนึ่ง พลันบังเกิดสายลมปริศนาหอบร่างนางอย่างอ่อนโยนไปยังทุ่งเขียวขจี ไซคีเผลอหลับไปเพราะความอ่อนล้า ก่อนตื่นมาพบว่าตนอยู่ริมแม่น้ำและคฤหาสน์หลังโตราววิหารเทพเจ้า พร้อมพรั่งด้วยอาหาร และมีดนตรีบรรเลงคลอ ...
      คืนนั้นนางได้พบสามีที่โผล่มากระซิบข้างหูอย่างอ่อนโยน ความโศกเศร้าค่อย ๆ มลายไปก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความอิ่มเอมใจ เสียงอันนุ่มละมุนนั้นทำให้ไซคีรู้ทันทีว่าเขาไม่มีทางเป็นปีศาจร้าย แม้นางไม่ได้รับอนุญาตให้เห็นใบหน้าของเขา แต่รู้สึกได้อย่างจริงจังว่าเขาเป็นบุรุษรูปงามที่นางอยากครองคู่ด้วย
      เวลาผ่านไป หญิงงามผู้มีชื่อเสียงเป็นภัยคุกคามเทพีแห่งสรวงสวรรค์ได้ใช้ชีวิตยามกลางวันอยู่ในคฤหาสน์กับเสียงปริศนาที่แนะนำตัวว่าเป็นผู้รับใช้ของนาง ส่วนสามีจะมาหานางยามราตรีแล้วหลับนอนกันท่ามกลางความมืดมิด และอันตรธานหายไปก่อนฟ้าสาง แม้ไซคีจะมีความสุขอย่างล้นพ้น แต่การไม่ได้ยลโฉมคู่รักยังเป็นเรื่องค้างคาใจของนางตลอดมา
      ภายหลังไซคีทราบว่าพี่สาวสองคนของนางมักมาร่ำไห้ถึงน้องสาวที่ยอดเขา นางขอสามีไปปลอบประโลมพี่ ๆ แต่สามีห้ามปรามไว้ เขาบอกว่าการเปิดเผยตนเองของนางจะนำความวิบัติมาสู่เขาและตัวนางด้วย แต่เมื่อเห็นไซคีจมอยู่กับความโศกเศร้า ที่สุดสามีก็ยอมให้นางไปพบพี่สาว พร้อมเตือนว่า หากเกิดการหว่านล้อมให้นางดูหน้าเขา โทษคือเขาจะไปจากนางทันที ไซคีรับปากว่าจะไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น...
      เมื่อพี่สาวทั้งสองของไซคีมีโอกาสเห็นคฤหาสน์และทราบถึงความสุขสบายของน้องสาวก็บังเกิดความริษยาขึ้น พวกนางใคร่รู้ว่าใครคือสามีและเจ้าของความวิจิตรตระการตาที่น้องสาวกำลังได้รับอยู่ เมื่อรู้ว่าไซคีไม่เคยเห็นหน้าสามี พวกนางจึงยุแยงว่า สามีของไซคีเป็นปีศาจตามคำพยากรณ์อย่างแน่แท้ จึงปกปิดตัวตนเช่นนี้ และวันหนึ่งเขาอาจทำร้ายนางได้ พร้อมแนะนำให้ไซคีส่องตะเกียงดูหน้าเขาตอนหลับใหล หากเป็นปีศาจจริงจงชิงจังหวะนั้นฆ่าเขา...
      แผนการได้ผล ไซคีประหวั่นใจกับคำยุแยง คืนนั้นไฟตะเกียงส่องไปยังร่างที่หลับใหลของสามีผู้ปกปิดตัวตน ไซคีปลาบปลื้มใจอย่างหาที่สุดไม่ได้เมื่อพบว่าสามีของนางไม่ใช่อสุรกาย แถมเป็นชายหนุ่มรูปงาม ขณะเดียวกันนางละอายแก่ใจเหลือเกินที่หลงเชื่อคำยุยงของพี่สาว ร่างกายจึงอ่อนแรงจนเผลอทำมีดร่วงจากมือ และทำน้ำมันตะเกียงหยดใส่สามี เขาจึงสะดุ้งตื่นและตระหนักแก่ใจทันทีว่าภรรยาสุดที่รักไม่เชื่อใจเขา แถมผิดคำสัตย์ที่ให้ไว้ เขากางปีกเตรียมบินจากไซคี ส่วนไซคีวิ่งตามเขาไปท่ามกลางความมืด เขายอมเปิดเผยตนว่าคือ “คิวปิด” เทพแห่งความรัก แล้วพูดว่า “ความรักไม่สามารถอยู่ได้ในที่ที่ไม่มีความเชื่อใจกัน” ก่อนเหาะจากไป
      ไซคีได้แต่โทษตนเองกับเรื่องที่เกิดขึ้น นางเดินทางออกตามหาเขา สวดอ้อนวอนให้ทวยเทพช่วยเหลือ แต่เทพเจ้าทั้งหลายเกรงใจเทพีวีนัส ซึ่งบัดนี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟหลังรู้ว่าคิวปิดแอบไปมีสัมพันธ์กับนางมนุษย์ที่ตนเกลียดชัง เมื่ออับจนหนทาง ไซคีถึงกับยอมถวายตัวรับใช้เทพีวีนัส เพราะหวังให้องค์เทพีคลายแรงพิโรธและเมตตาในความรักของนางต่อคิวปิด เทพีวีนัสตอบรับคำขอแล้วมอบบททดสอบซึ่งไม่น่ามีมนุษย์หน้าไหนแก้ได้ให้ไซคีทันที...
      เทพีวีนัสให้ไซคีคัดแยกเมล็ดพืชกองมหึมาที่มีธัญพืชนานาพรรณ เช่น ข้าวสาลี ป็อปปี้ ข้าวฟ่าง ฯลฯ บอกให้จัดการให้เสร็จก่อนมืด ปรากฏว่ามีเหล่ามดกรูออกมาช่วยหญิงสาวผู้น่าสงสารคัดแยกเมล็ดพืชจนเสร็จ เทพีวีนัสเห็นดังนั้นจึงมอบหมายให้ไซคีไปเอาขนแกะทองคำจากฝูงแกะที่ดุร้าย เมื่อมาถึงริมตลิ่งที่ฝูงแกะอาศัยอยู่ มีต้นอ้อต้นหนึ่งบริเวณนั้นบอกให้นางรอจนฝูงแกะเดินผ่านพงไม้ไปก่อน เพราะจะมีขนแกะทองคำเกี่ยวติดอยู่ตามพงไม้เหล่านั้น ไซคีจึงนำขนแกะเลอค่ามามอบให้เทพีวีนัสจนได้
      เทพีวีนัสยังไม่เลิกกลั่นแกล้งไซคี ภารกิจต่อมาคือนางต้องตักน้ำจากแม่น้ำสติกซ์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแม่น้ำมรณะ รายล้อมด้วยตลิ่งที่เป็นโขดหินผาสูงชันและมีกระแสน้ำเชี่ยวกราก ไร้ทางเข้าถึงโดยตรง (นอกจากจะบินได้) รอบนี้ผู้ช่วยของไซคีคือนกอินทรีที่จิกเอาขวดแก้วไปตักน้ำมาให้ ภารกิจต่อมา เทพีวีนัสมอบหีบให้ไซคีนำไปส่งยมโลก โดยไซคีต้องบอกกับ เทพีโพรเซอร์พิเน ธิดามหาเทพจูปิเตอร์ (ซุส) ซึ่งประทับอยู่ในยมโลกว่า พระนางขอให้บรรจุ “ความงาม” ใส่กล่องนั้นฝากกลับขึ้นมา...
      ไซคีออกเดินทางไปยังยมโลกของเทพเฮเดส บนเส้นทางสุดวิบาก ก่อนถึงวังของเทพีโพรเซอร์พิเน ต้องผ่านหอคอยบอกทาง โพรงใหญ่ปากทางเข้ายมโลก และแม่น้ำแห่งความตาย นางนั่งเรือแจวของเครอนผู้นำวิญญาณไปยังวังเซอร์เบอรัส สุนัขสามหัวผู้เฝ้าประตูสู่ยมโลก ก่อนจะพบเทพีโพรเซอร์พิเน ซึ่งพระนางก็มอบสิ่งที่เทพีวีนัสต้องการให้  ไซคีถูกทดสอบครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างการเดินทางกลับ ความอยากรู้อยากเห็นและแรงปรารถนาทำให้นางเปิดกล่องนั้นก่อนถึงวังเทพีวีนัส แต่พบว่ากล่องว่างเปล่า แล้วไซคีก็ผล็อยหลับไปทันที
      คิวปิดโผล่มาหานาง เทพหนุ่มไม่อาจหักห้ามใจและปกปิดความอาวรณ์ที่มีต่อนางได้ เขาแทงศรดอกหนึ่งปลุกนางให้ตื่น แล้วต่อว่านางเล็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น พร้อมบอกให้นางนำกล่องใบนั้นไปให้มารดาของตนเพื่อจบภารกิจนี้
      คิวปิดร้องขอให้จูปิเตอร์ช่วยสะสางปัญหา เพราะมั่นใจว่ามารดาคงไม่หยุดระรานหญิงงามคนรักเป็นแน่ มหาเทพแห่งโอลิมปัสตอบรับคำขอ พระองค์เรียกประชุมทวยเทพแล้วประกาศให้คิวปิดกับไซคีครองคู่กันอย่างเป็นทางการ พร้อมมอบพลังแห่งอมตชนให้ไซคี ไซคีจึงกลายเป็นเทพีที่เป็นอมตะ ส่วนเทพีวีนัสได้แต่ยอมรับสถานะลูกสะใภ้ของนางอย่างเสียมิได้...
      หลังเจอบททดสอบและการลองใจอันสาหัสสากรรจ์ สุดท้ายเรื่องราวนี้ก็จบแบบ “สุขนาฏกรรม” คือทั้งคู่ต่างสมหวังในความปรารถนา เพราะ “ความรัก” (Eros) กับ “วิญญาณ” (Psyche) ย่อมมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ฉันใดก็ฉันนั้น...

Credit :  https://www.silpa-mag.com/culture/article_101775

วาเลนไทน์ครั้งสุดท้าย... 

อืม...วาเลนไทน์อีกแล้วสินะ" แนนเงยหน้าขึ้นสบตาจอยพลางยิ้มพูดเบาๆ  วาเลนไทน์...14 กุมภาพันธ์ วันที่กุหลาบทั่วโลกบานพร้อมกัน วันที่ความรักงอกงามได้เร็วกว่าทุกวัน และเป็นวันที่กามเทพแผงศร ให้หลายๆคู่ได้สมหวังแต่คงไม่ใช่แนน...เธอคนนี้แน่นอน ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ความแออัดและตึกสูงในเมืองหลวง... มีหมู่บ้านจัดสรรเล็กๆกำลังก่อตัวขึ้น ก่อตัวขึ้นพร้อมกับความรัก ความรักของเขาและเธอ "เธอๆ มาเล่นก่อกองทรายด้วยกันมั้ย"  เด็กผู้ชายตัวเล็กๆหน้าตามอมแมมกำลังนั่งเล่นบนกองทรายสูงท่วมหัว "เธอชื่ออะไร เราชื่อเอ" เด็กผู้ชายแนะนำตัวเองก่อน พลางกระโดดลงมาจากกองทราย "ฉันชื่อแนน" เด็กผู้หญิงแนะนำตัวเองบ้างพลางค่อยๆนั่งลง ทั้งคู่ค่อยๆก่อกองทราย เด็กผู้หญิงวิ่งไปเอาน้ำมารดให้ทรายเปียกชุ่ม เด็กผู้ชายค่อยๆเอาเศษไม้เกลี่ยให้ดินทรายที่เปียกค่อยๆก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง จนได้เค้าโครงของปราสาททรายที่ต้องการ
        "เอ เดี๋ยวแนนประดับปราสาททรายเองนะ" เด็กผู้หญิงวิ่งมาพร้อมกับก้อนหินสีสวยในกำมือ วางลงข้างๆปราสาททรายที่กำลังจะอวดโฉมออกมาเป็นรูปเป็นร่าง "แนนๆ ตรงนี้เป็นห้องของแนนนะ ห้องของเจ้าหญิงงัย ส่วนตรงนี้เป็นห้องของเอ...... อันนี้เป็นห้องประชุมนะ" เอพูดพลางชี้ไปเรื่อยๆบนปราสาททราย.....กองทรายแห่งความฝัน  "เอๆ ต้องทำสวนดอกไม้ตรงนี้ด้วย เจ้าหญิงต้องมีสวนดอกไม้นะ" แนนพูดแย้งขึ้นพลางชี้ไปตรงด้านหน้าปราสาททราย "แนนอยากได้สวนอะไร....อยากได้ดอกไม้อะไร" เอพูด เงยหน้าขึ้นมองหน้าแนนอย่างใจจดใจจ่อ "เอาดอกอะไรดี...เอ ช่วยแนนคิดหน่อยสิ" แนนมองหน้าเอด้วยแววตาใสซื่อ เด็กตัวเล็กๆสองคนกำลังสวมบทเจ้าหญิงและเจ้าชายกันอยู่
        "อืม...เจ้าหญิงต้องเหมาะกับดอกกุหลาบนะ" เอพูดพลางทำท่าคิด "ตกลงๆ สวนดอกกุหลาบนะ เราจะทำสวนดอกกุหลาบที่ลานหน้าปราสาทของเรา" แนนพูดพลางยิ้ม ค่อยๆเกลี่ยทรายให้เรียบเพื่อทำเป็นลานทั้งคู่สร้างปราสาททรายแห่งความฝันของพวกเขาอยู่นานจนกระทั่ง "เอ ไปได้แล้ว พ่อเสร็จงานแล้วลูก" เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรเดินมาสะกิดลูกชายตัวเองเบาๆ  "พ่อๆ ให้เอเล่นกันแนนอีกแป๊บนะ" ลูกชายออดอ้อนพ่อของตัวเอง "หน่า ไปได้แล้ว เดี๋ยววันหลังมาเล่นใหม่ก็ได้นี่" พ่อของเขานั่งยองลง อธิบายให้ลูกชายฟังพลางลูบหัวเบาๆ "ตกลงครับ เดี๋ยวให้เอบอกแนนก่อนนะ" เด็กผู้ชายตัวมอมแมมพูดพลางวิ่งกลับหลังไปหาเพื่อนของเขา "แนน เดี๋ยวพรุ่งนี้เอมาหานะ พรุ่งนี้เอจะเอาดอกกุหลาบมา มาทำสวนกุหลาบให้แนนนะ" เอพูดพลางชี้นิ้วลงตรงลานหน้าปราสาททราย "ตกลงๆ พรุ่งนี้เจอกันนะ" แนนยิ้มพูดพลางพยักหน้า เด็กสองคนเล่นกันช่างดูน่ารักเสียนี่กระไร
        ทุกวัน เอและแนนจะมานั่งก่อปราสาททรายด้วยกัน ก่อสร้างความหวังบนมิตรภาพและความรัก ระหว่างลูกชายเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรและลูกสาวนายช่างใหญ่ "แนนๆ เมื่อวานแม่เราสอนให้เราเขียนหนังสือด้วยแหละ" เด็กผู้ชายเสื้อผ้ามอมแมมคลุกฝุ่นและทรายเปียกเงยหน้าขึ้นมองเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่วิ่งเข้ามา  "ไหนๆ แม่ของเอสอนเขียนคำว่าอะไร" แนนถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น "แม่เอสอนเขียนหลายคำ แต่เอจำได้คำเดียว" เอพูดพลางทำเสียงเศร้าๆ เอคงอยากจำทุกคำมาเขียนให้แนนดู "เอจำคำไหนได้ เขียนให้แนนดูหน่อยสิ" แนนพูด เอค่อยๆก้มลงข้างๆกองทราย หยิบเศษไม้เล็กๆปักลงบนผืนทรายที่เพิ่งผ่านฝนเมื่อคืนแล้วตวัดเป็นจังหวะเพียงชั่วครู่ ปรากฎเป็นตัวอักขระลายเส้นบิดพลิ้ว คำว่า รัก ปรากฎบนผืนทรายราบเรียบที่เกาะตัวเหนียวด้วยหยดน้ำ เด็กตัวเล็กๆสองคนยืนมองด้วยความตื่นเต้น  "อ่านว่าอะไร เอ" แนนพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นและแปลกใจ "อ่านว่า รัก" เอพูดกระซิบข้างหูแนนเบาๆ  "เหรอ อ่านว่ารักเหรอ....สอนแนนเขียนหน่อยสิ นะๆๆๆ" แนนพูดพลางเกาะแขนออดอ้อนเอ "มานี่ๆ เอจะสอน" เอพูดพลางหยิบเศษไม้เล็กๆให้แนนจับไว้ มือเอและมือแนนจับประสานกัน ตวัดบนกองทรายให้เกิดเป็นอักขระบิดพริ้ว  "นี่ไง แนนเขียนได้แล้ว ดีใจจังเลย" แนนพูดพลางหันหลังกลับไปกอดเอด้วยความดีใจ              "มันแปลว่าอะไรเหรอ เอ" แนนยังคงสงสัยไม่หายในความหมายของมัน "เอก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แม่บอกว่ามันมีความหมายมากนะ มากจนอธิบายไม่ได้" ใช่สิ...ความหมายมันคงมากมายเกินกว่าเด็กห้าขวบจะรู้ หรือแม้แต่คนบางคนใช้เวลาทั้งชีวิต ก็ไม่อาจรู้ว่าคำว่ารักคืออะไร.... "สักวัน เราจะรู้ความหมายมัน แม่เอบอก" เอพูดพลางหันไปมองแนน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ยืนข้างๆตน "อืม สักวันนะ" แนนพูดพลางหันมายิ้มให้กับเอ ใช่ สักวันแนนและเอคงรู้ความหมายของมัน.
        "โอ๊ย...เจ็บ" เด็กผู้หญิงผมเปียพูดขึ้นพลางจับผมเปียของตัวเองด้วยสีหน้าเซ็งๆ เธอโดนเพื่อนแกล้งดึงเปียผมของเธอประจำ "ใครดึงผมเปียแนน" เด็กผู้ชายนั่งข้างๆเธอหันขวับกลับไปมองแทบจะพร้อมกันกับเจ้าของผมเปีย เห็นเด็กผู้ชายวัยเดียวกันสามคนนั่งอยู่ข้างหลังหัวเราะกันคิกคักพลางชี้นิ้วมาที่แนน  "ทำไมๆ ข้าดึงเอง จะทำไม" หนึ่งในเด็กสามคนพูดพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง "แกล้งผู้หญิง หน้าตัวเมีย" เอยืนขึ้นชี้หน้าด่า   "แล้วจะทำไม" เด็กทั้งสามกรูกันมายืนหน้าเอ   ถีบโต๊ะเรียนกระจัดกระจายคนละทิศคนละทาง "ไม่เอาเอ อย่าไปยุ่งกับพวกนั้น" แนนพูดพลางเกาะแขนเอไว้แน่น เอเอามือจับแขนแนนออกจากตัวทันที...   ปั้ง...หนึ่งหมัดปล่อยออกไป คล้ายเป็นการประกาศสงครามของคนสองกลุ่ม  ทั้งสามคนกรูเข้ามารุมเอคล้ายหมาป่ากำลังรุมขยุ้มเหยื่อ โต๊ะเรียนที่กระจัดกระจาย ข้าวของทั้งของเอและแนนตกกระจายเกลื่อนกลาดคนละทิศคนละทาง               "หยุด!!" เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง...มีอำนาจมากพอจะทำให้ทั้งสี่คนหยุดการตะลุมบอนกัน  "พวกเธอทำอะไรกัน อันธพาลกันใหญ่แล้วนะ"  ครูประจำชั้นเข้ามาห้ามทัพหมาป่าขยุ้มเหยื่อ  แม้จะห้ามทัพได้ แต่ก็ได้ปรากฎเลือดไหลซิบๆที่คิ้วและโหนกแก้มของเอ   "เอ เจ็บมั้ย" แนนวิ่งเข้ามาทันทีที่ครูประจำชั้นเดินออกไป    "ไม่เจ็บหรอก" เอพูดพลางก้มหน้าหลบสายตาแนน  "ไม่เจ็บอะไร เลือดไหลใหญ่แล้ว ไปห้องพยาบาลนะ แนนจะทำแผลให้"   แนนพูดพลางดึงตัวเอออกจากห้องเรียนไป  เลือดไหลเป็นทางลงมาจากคิ้วและโหนกแก้มเปรอะเปื้อนเสื้อนักเรียนสีขาวของเอ   "โอ๊ย...เจ็บ อย่าจับสิ" เอพูดโพล่งขึ้นขณะที่แนนกำลังกดดูความลึกของบาดแผล...  แต่แนนกลับยิ้มออก  "โอ๊ย แสบ"   เอโอดครวญด้วยความเจ็บปวดทันทีเมื่อแนนค่อยๆกดสำลีชุบแอลกอฮอลงบนแผลของเอ  "แสบก็ทนสิ อยากหาเรื่องเค้านี่นา"  แนนพูดพลางยิ้ม ค่อยๆเช็ดแผลบนใบหน้าของเอช้าๆอย่างระมัดระวัง  ทุกครั้งที่มีคนแกล้งแนน เอจะยืดอกปกป้องแนนเสมอ แม้จะต้องเจ็บตัวหรือตกอยู่ในภาวะเป็นรองก็ตามที....
        แนนๆ แฮปวาเลนไทน์นะ"   ชายหนุ่มวัยรุ่นแต่งตัวภูมิฐานพูดห้วนๆพลางยืนกุหลาบแดงให้กับมือหญิงสาว  "อีตาบ๊อง อย่ามาทำหวานใส่ฉันหน่า" แนนพูดกวนๆพลางยิ้ม เอได้แต่ยืนม้วนด้วยความอาย  "อ้าว ก็วันนี้วันวาเลนไทน์ ทำหวานให้เจ้าหญิงของตัวเองสักหน่อยจะเป็นอะไรไป"  เอพูดพลางยิ้ม ทำไมหนุ่มวัยรุ่นเวลาอายนี่ดูตลกดีแท้ ทั้งมือทั้งแขนแทบจะไม่มีที่เก็บ  สงสัยถ้าแทรกแผ่นดินหนีได้คงหนีหายไปแล้ว  "หวานกับเค้าก็เป็นเหรอ เดี๋ยวนี้พัฒนาขึ้นนะ"  แนนพูดพลางยื่นมือไปหยิกจมูกเอด้วยความเขิน เอยังคงพยายามสำรวมอาการเขินอยู่
        "เอรักแนนนะ"  เอพูดพลางจับมือแนนขึ้นมาเขียนรูปหัวใจไว้ที่ฝ่ามือ ตอนนี้แนนเริ่มหน้าแดงขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าตัวเอง   "เหรอ....เขียนคำว่ารักตรงนี้ ดูไม่ซึ้งเลย" แนนพยายามบ่ายเบี่ยง ไม่เลิกแหย่เอ   "เดี๋ยวสักวัน เอจะเขียนไว้ตรงหัวใจแนนเลยนะ"   เอพูดประหม่า มองหน้าแนนพลางเอื้อมมือดึงตัวแนนเข้ามาโอบกอดไว้แน่น....สักวัน  เอจะเขียนคำว่ารักไว้ในหัวใจแนนเลย.....
        ใต้ต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศร่มรื่น มีโต๊ะหินอ่อนวางเรียงรายเป็นแนว  มีนักศึกษาจับกลุ่ม บ้างคุยกัน บ้างอ่านหนังสือ บ้างหยอกล้อกินขนมกัน...   "เอ เย็นนี้แนนไปทำวิทยานิพนธ์กับเพื่อนนะ" แนนพูดพลางเก็บหนังสือ "ไปทำวิทยานิพนธ์กับใคร" เอเงยหน้าขึ้นมองแนนทันที   "ไปกับกิ๊ฟกับฝนหนะ นะๆๆๆ"  แนนพูดพลางเดินไปนั่งข้างๆเอ เขย่าแขนเหมือนเด็กอ้อนวอนผู้ใหญ่  "ให้เอไปส่งมั้ย เอว่างนะ" เอพูดพลางยิ้ม ลูบผมแนนเบาๆ  "ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฝนเอารถมา" แนนพูดพลางซบหน้าลงบนบ่าของเอ  "นี่ แล้วกินข้าวเสร็จแล้วอย่าลืมกินยาล่ะ เข้าใจมั้ย กลับถึงบ้านก็อย่าลืมโทรมาบอกด้วย"  เอพูดพลางจ้องหน้าแนนด้วยสีหน้าจริงจัง   "ค่ะ หัวหน้า สั่งจริงๆเลย" แนนพูดพลางยิ้ม เอามือหยิกจมูกเอด้วยความเขิน
        "กิ๊ฟๆ แฟนแกเป็นงัยบ้าง" ฝนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในรถ ขณะที่ตนอยู่หลังพวงมาลัย  "ปวดหัวสุดๆ เจ้าชู้เป็นบ้าเลย" กิ๊ฟพูดปัดๆคล้ายกับไม่ค่อยพอใจในแฟนตัวเองนัก  "ทำไมไม่เลิกๆไปสิ จะได้ไม่กลุ้ม" ฝนเสนอความเห็น มองหน้ากิ๊ฟผ่านกระจกมองหลัง    "หน่า....ให้โอกาสสักครั้ง"  กิ๊ฟพูดพลางซบหน้าลงที่กระจกหันหน้ามองออกนอกรถด้วยอาการเอือมระอา  "โอกาสสักครั้ง รอบที่ล้าน" เสียงหัวเราะดังขึ้นเกือบพร้อมกันทั้งรถ  "แล้วแนนล่ะ แหม...เจ้าชายเธอเอาใจเธอดีนะ" ฝนพูดขึ้นพลางหันไปมองแนนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ  "โอ๊ย รายนั้นไม่รู้กี่ปีแล้ว ยังจับไม่ได้สักทีว่ามีกิ๊กเก็บไว้ที่ไหน" แนนพูดยิ้มพลางหันไปมองหน้าฝน  "แปลได้สองอย่าง...ถ้าแฟนเธอไม่รักเธอคนเดียว เค้าก็เก่งมากที่หลอกเธอมานานหลายปี"  เสียงหัวเราะดังขึ้นแทบจะพร้อมกันทั่วรถ
        "เอี๊ยยดดด....."   เสียงเบรกลากล้อดังยาวจากด้านข้างตัวรถ คนทั้งรถหันไปมองแทบจะพร้อมกัน  รถบรรทุกฝ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนรถเก๋งของฝนอย่างจัง แรงอัดทำให้กระจกทุกบานแตกละเอียด  ห้องโดยสารด้านหน้าฝั่งคนนั่งยุบเข้ามาอย่างเห็นได้ชัดร่างไร้สติของแนนยังคงสงบนิ่งติดอยู่ในรถเก๋งขนาดสองตอน  มัจจุราชอาจฉุดวิญญาณเธอออกจากร่างได้ทุกเมื่อ 
        "แนนๆ" เสียงกระซิบเบาๆดังข้างหู ทำให้แนนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมา  "อยู่ไหน....โอ๊ย เจ็บ"  แนนค่อยๆอ้าปากพูด แต่ไม่ชัดนัก เฝือกขาวถูกแต่งแต้มถามร่างกายของแนนคล้ายกับเป็นเครื่องประดับ  "ใจเย็นๆ แนน เธอสลบไปสองเดือน"   .....สองเดือน สองเดือน แนนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง. ...   ฝนค่อยๆอธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แนนฟัง.....    "แล้ว สรุปว่าฉันเจ็บคนเดียวใช่มั้ย"  แนนพยายามพูด เสียงพูดของแนนแทบจะไม่ได้ยิน   "อืม..." ฝนพยักหน้าเบาๆ กำมือแนนไว้นิ่งๆ                      "เอ ล่ะ เออยู่ไหน" แนนเพิ่งนึกขึ้นได้ แฟนเธออยู่ไหน  "เอมาหาเธอครั้งเดียว วันแรกที่ชน แล้วหายไปเลย"  ฝนพูดพลางลูบหัวแนนเบาๆ  "ไม่เป็นไรนะ ไม่มีเอ เราก็อยู่กันได้ จริงมั้ยเพื่อน"   ฝนพยายามพูดปลอบใจแนน   "อืม..."   น้ำตาค่อยๆกลั่นตัวหยดลงมาจากนัยน์ตาของแนน  คำพูดของฝนตอนคุยกันในรถคงจะเป็นความจริง....   เขาเก่งมากจริงๆ เก่งมากที่หลอกแนนมาหลายปี เก่งมากที่หลอกว่ามีแนนคนเดียว..... ทำไมผู้ชายทั้งโลกถึงนิสัยเหมือนกันหมดเลย เสียดายเวลาที่อยู่ด้วยกัน  เสียดายความรักที่มอบให้.....เสียดาย เสียดาย เสียดาย
        "คุณแนน ค่อยๆก้าวนะครับ ช้าๆ"   บุรุษพยาบาลพยายามพยุงแนนขึ้นเดิน แนนยังคงไม่หายเจ็บดี  ยังคงต้องทำการกายภาพบำบัดอีก "ระวังล้มนะครับ จับผมไว้ดีๆ"  บุรุษพยาบาลเดินช้าๆเพื่อให้แนนเกาะแขนเดินตามช้าๆ..... ทำไมบุรุษพยาบาลถึงไม่ใช่เอนะ....ทำไม ทำไม ทำไม   "คุณบุรุษพยาบาลคะ นี่ฉันสลบไปนานถึงขั้นต้องกายภาพบำบัดกันเลยเหรอ"  แนนถามด้วยความสงสัย  "โห คุณไม่ได้เดินสองเดือนนี่ มันนานนะครับ"  บุรุษพยาบาลตอบด้วยความสุภาพ  "จะว่าอะไรมั้ยค่ะ ถ้าจะถามชื่อเล่น คือถ้าเรียกว่าคุณบุรุษพยาบาล เกรงว่ามันจะยาวไป"  แนนพูดพลางยิ้ม  "ผมชื่อ กอล์ฟ ครับ"  บุรุษพยาบาลตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงเรียบๆ   นับจากวันนั้น แนนและกอล์ฟเริ่มสนิทกัน  /ทุกเย็นกอล์ฟจะพาแนนออกไปทำกายภาพบำบัด ไม่นานแนนก็สามารถเดินเองได้และออกจากโรงพยาบาลในที่สุด....
        "คุณแนนคะ น้ำดื่มค่ะ" พยาบาลชุดขาวเดินถือแก้วน้ำมาวางข้างๆเธอ   ขณะเธอนั่งรอกอล์ฟที่  ล็อบบี้ของโรงพยาบาล เธอได้แต่พยักหน้าและยิ้มให้ด้วยไมตรี  "กอล์ฟๆ ไปกินข้าวกัน"  แนนพูดทันทีที่เห็นกอล์ฟเดินออกมา  มีพยาบาลหลายคนยกมือไหว้แนน แนนก็ได้แต่รับไหว้ด้วยสีหน้างงเล็กน้อย "ไปสิครับ"   กอล์ฟพูดพลางค้อมตัวลงผายมือไปที่ห้องอาหารของทางโรงพยาบาล  ดูกอล์ฟค่อนข้างสุภาพและให้เกียรติแนนมาก....มากจนน่าแปลกใจ   ท่าทางโรงพยาบาลนี้จะเข้มงวดเรื่องมารยาทกับพยาบาลมาก  แนนและกอล์ฟสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ....จนบางครั้งแนนก็อยากให้กอล์ฟมาแทนที่เอ
บ่อยครั้งที่แนนคิดถึงเอ เอก็ไม่โทรมา  บ่อยครั้งที่แนนอยากคุยกับเอ เอก็ไม่ติดต่อมา  บ่อยครั้งที่แนนนั่งเหงา อยากให้เอนั่งเป็นเพื่อน แต่เอก็ไม่ปรากฎตัว     เอ....เอ....เอ เอหายไปไหน ไหนล่ะ หัวใจที่เอบอกว่าจะให้แนน  ไหนล่ะ หัวใจที่เอเคยเขียนไว้บนฝ่ามือแนน มันคงหายไปแล้ว....หายไปพร้อมกับเอ  หายไปพร้อมกับผู้ชายโกหก....ผู้ชายเจ้าชู้  ทำไมผู้ชายเหมือนกันทั้งโลก.....ทำไม ทำไม ทำไม
        ใกล้วาเลนไทน์เข้าไปทุกที ปีนี้ไม่เหมือนกับปีก่อนๆ  ไม่มีเอคอยให้ดอกกุหลาบแดง ไม่มีอีตาบ๊องทำท่าเขินอายให้ดู "แนนๆ วาเลนไทน์ปีนี้ ว่างหรือเปล่าครับ"  เสียงกอล์ฟดังตามสายโทรศัพท์ "ว่างค่ะ ทำไมค่ะ" แนนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ   "พอดีผมมีของจะให้แนนนะครับ เดี๋ยววันวาเลนไทน์บ่ายสามโมงเจอกันที่สยามนะครับ" กอล์ฟเสนอความเห็น   "ตกลงค่ะ" แนนพูดพลางกดวางสาย สีหน้าแววตาเปี่ยมด้วยความหวัง.... หวังว่ากอล์ฟคงจะมาแทนที่เอได้เสียที
        วันวาเลนไทน์ วันที่กุหลาบแดงบานสะพรั่งพร้อมกันทั่วโลก  แม้ในลานที่สยามหรือที่วัยรุ่นเรียกกันสั้นๆว่า "เซนเตอร์พอยต์" ยังถูกละเลงด้วยดอกกุหลาบสีแดง...นักเรียน  นักศึกษาต่างถือกุหลาบแดงในมือเดินกันขวักไขว่ทั่วลาน   "ขอโทษค่ะ มาสาย" แนนพูดพลางยิ้มก่อนดึงเก้าอี้ออกมานั่ง   "ไม่เป็นอะไรครับ" กอล์ฟพูดพลางยิ้ม  "อืม...ว่าแต่มีอะไรจะให้แนนเหรอ"  แนนพูดพลางจ้องตากอล์ฟ...หากกอล์ฟมีพิรุธ แนนจะจับได้ทันที   "อันนี้ของแนนนะครับ"  ดอกกุหลาบสีแดงถูกดึงออกมาจากถุงอย่างช้าๆ วางลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล  "หมายความว่ายังไงค่ะ จะขอหัวใจแนนเหรอ"  แนนพูดติดตลกพลางยิ้ม เธอคิดว่าเธออ่านเกมส์ออกหมด
        "ผมคงไม่กล้าขอหัวใจแนนหรอก" กอล์ฟพูดพลางยิ้ม แต่กลับทำให้แนนงง  "อ้าว...แล้วกุหลาบสีแดงนี่... " ไม่ทันแนนจะพูดจบ กอล์ฟต่อคำพูดของเขาทันที  "ผมไม่กล้าขอหัวใจแนนหรอกครับ  เพราะหัวใจของแนนไม่ใช่ของแนน" ปั้ง...   เหมือนมีแผ่นเหล็กหนาหลายฟุตทุบลงกลางศีรษะ  แนนเริ่มงงกับความหมายขึ้นไปทุกที...มันแปลว่าอะไร???
        "หัวใจของคุณ คือเจ้าของกุหลาบดอกนี้"  กอล์ฟพูดต่อ....แนนทำหน้างงๆไม่เข้าใจความหมายแม้แต่นิดเดียว "ตอนคุณประสบอุบัติเหตุเข้ามาที่โรงพยาบาล  คุณเสียเลือดมาก...หัวใจคุณเต้นอ่อนจนแทบจะล้มเหลว พวกผมและหมอพยายามเยียวยาจนถึงที่สุด"  กอล์ฟเริ่มอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น.....เรื่องที่แนนไม่เคยรู้   "มีผู้ชายคนนึง วิ่งเข้ามาบอกว่าเป็นแฟนคุณ เขาบอกให้ช่วยคุณให้ได้   เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า...เขายอมจ่ายไม่อั้น  ไม่ว่าทางเราจะขออะไร เขาจะจัดหาให้หมด.....   คำพูดของเขาทำให้ผมประทับใจมาก"  กอล์ฟหยุดพูดชั่วครู่...แนนรู้ทันทีว่ากอล์ฟหมายถึงเอ   "ผมยอมแลกทุกอย่างกับชีวิตเธอ - เขายอมแลกทุกอย่างกับชีวิตคุณ" กอล์ฟพูดพลางจ้องหน้าแนนนิ่ง แต่แนนยังคงทำสีหน้างงอยู่
        "เขายอมทุกอย่างจริงๆ ทีแรกหมอบอกว่าทางเราหาเลือดไม่พอให้คุณ  เขาวิ่งตามหาเลือดให้คุณไปทั่วทุกโรงพยาบาล  แต่กลับไม่พบว่ามีเลือดถุงไหนที่ตรงกับเลือดคุณ"  กอล์ฟพูดด้วยน้ำเสียงปกติ สายตามองไร้จุดหมาย  "สุดท้ายเราตรวจเลือดของเขา พบว่าตรงกับของคุณพอดี   เขาบอกให้ทางเราเอาไป เอาไปให้คุณ....ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะเป็นอย่างไร  ขอแค่คุณปลอดภัยก็พอ" กอล์ฟหยุดพูดชั่วครู่พยายามกลั้นน้ำตา แต่นัยน์ตาแนนเริ่มเจิ่งนองไปด้วยน้ำใสๆ
        "ต่อมา...ตอนพวกผมถ่ายเลือดให้คุณ หัวใจคุณเต้นอ่อนลงเรื่อยๆ  จนหมอต้องเดินออกไปบอกให้เขาทำใจ.....ทำใจว่าเขาจะต้องเสียคุณ"  กอล์ฟพยายามเล่าต่อไปเรื่อยๆด้วยน้ำเสียงปกติ นัยน์ตาแนนเริ่มแดงก่ำ   "เขาถามหมอว่า เธอต้องการอะไร....." ใช่ เอถามหมอว่าแนนต้องการอะไร   "เธอต้องการ หัวใจครับ หัวใจเธอเต้นไม่ปกติ การสูบฉีดล้มเหลว  เราหาเลือดให้เธอช้าไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอต้องการคือ หัวใจ"  หมอหวังว่าเอคงจะเลิกหวังในตัวแนน...หยุดเล่นเกมกับมัจจุราชเสียที
        "ตกลง ผมหาให้ – เขาตอบสั้นๆโดยไม่ลังเลเลย"   ตกลงผมหาให้....เอจะหาหัวใจให้แนน ทั้งๆที่รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้...  เขาไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวเพื่อจะทำให้เธอ   "คุณรู้มั้ย ว่าคำพูดของเขาทำให้ผมและหมออึ้งกันไปหมด   โรงพยาบาลยังหาหัวใจให้คุณไม่ได้ เขาจะมีปัญญาที่ไหนหาหัวใจให้คุณได้"  กอล์ฟพูดพลางพยายามหลบสายตาแนน....ตอนนี้กอล์ฟเริ่มกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว
        "เขาถามเลขบัญชีของโรงพยาบาลกับหมอ....เขาไม่ได้โอนเงินมาซื้อหัวใจเทียมให้คุณ  แต่เขาโอนมาตั้งมูลนิธิการกุศลให้โรงพยาบาล มูลนิธิช่วยเหลือผู้ป่วยด้านหัวใจเทียม "นานา" คุณดูดีๆ คำว่า แนน และ เอ ถ้าเขียนติดกัน มันคือ "นานา"  (NAN-A)  นี่คือความปรารถนาสุดท้ายของเขา – เขาอยากให้ตัวเขาเองเป็นคนสุดท้ายที่ไม่ได้อยู่กับคนที่เขารัก... เพราะไม่มีหัวใจเทียมสำรอง" เปี๊ยง....แนนโดนสะกิดต่อมความจำเข้าเต็มเปา... เธอเคยเห็นป้ายมูลนิธิขึ้นหราที่โรงพยาบาล แต่เธอไม่เคยเฉลียวใจสักนิด...มิน่า  ทำไมหมอและพยาบาลต้องให้เกียรติและดูแลเธอดีเสียจนน่าแปลกใจ ทั้งๆที่เธอไม่มีส่วนได้เสียกับโรงพยาบาลแม้แต่บาทเดียว
        "ทันทีที่มีการยืนยันว่าเงินเข้าบัญชีทางโรงพยาบาล   เขาก็ยิงตัวตายในห้องน้ำโรงพยาบาลครับ  ทิ้งโน้ตไว้ว่า   มอบหัวใจให้เธอ - เขามอบหัวใจของเขาให้คุณ"   ทันทีที่กอล์ฟพูดจบ แนนปล่อยโฮออกมาเหมือนไม่มีใครอยู่ข้างๆ  โต๊ะรอบข้างหันมามองแนนเป็นตาเดียว....เอคือเจ้าของหัวใจ หัวใจที่อยู่ในร่างของแนน   "เขายอมแลกทุกอย่างกับคุณจริงๆ"   กอล์ฟพูดพลางวางของทั้งหมดที่เอเคยฝากไว้กับทางโรงพยาบาลคืนให้กับแนน  มีทั้งเครื่องเล่นเทป ม้วนเทป จดหมาย.....
        "ผมคงไม่กล้าขอหัวใจคุณหรอก หัวใจคุณเป็นของเขา หัวใจเขาเป็นของคุณ"  ใช่ หัวใจเอเป็นของแนน เป็นของแนนจริงๆ...ตอนนี้หัวใจแนนตายไปเรียบร้อยแล้ว  ตายไปพร้อมกับเอ ตายไปพร้อมกับผู้ชายที่ยอมทุกอย่างเพื่อเธอ     "กุหลาบดอกนี้ เขาบอกผมก่อนไปเข้าห้องน้ำว่า...วาเลนไทน์ที่จะถึง  รบกวนซื้อกุหลาบสีแดงให้คุณสักดอก ขอแค่ดอกเดียวก็พอ...เป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายของเขา" กอล์ฟพูดพลางเช็ดน้ำตา   นั่งนิ่งๆสักพักก่อนลุกจากโต๊ะไป....ทิ้งแนนนั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง
        "เอรักแนนนะ" "เอรักแนนนะ" "เอรักแนนนะ"  คำพูดซ้ำๆดังมาจากเครื่องเล่นเทป เป็นคำพูดเดียวกันที่พูดกันซ้ำ โดยไม่มีการตัดต่อทั้งเทป.....เทป 120 นาทีโดยมีเพลงประกอบเบาๆ   แนนค่อยๆคลี่จดหมายออกอ่าน....จดหมายที่มีเนื้อความเพียงบรรทัดเดียว "หัวใจเอ...เขียนคำว่ารักไว้ เขียนให้แนนคนเดียว"

นาฬิกาทรายกับน้ำแข็ง

       นานมาแล้ว โลกเป็นเพียงวัตถุทรงกลมเรียบๆเปล่าๆ ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจาก น้ำแข็งก้อนใหญ่กับนาฬิกาทรายเรือนยักษ์ ที่มีปลายเปิดสามารถปล่อยทรายออกได้อย่างเดียว น้ำแข็งกับนาฬิกาทรายเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก ร่วมทุกข์ร่วมสุข จนทั้งคู่เติบใหญ่เข้าสู่วัยหนุ่มสาว ความงดงามของน้ำแข็ง ทำให้นาฬิกาทรายแอบชื่นชมหลงใหล แต่ทุกครั้งที่พยายามแสดงความสนิทสนมใกล้ชิด ความเย็นชาจากน้ำแข็งก็ทำให้นาฬิกาทรายต้องผิดหวังทุกทีไป วันหนึ่งนาฬิกาทรายทะเลาะกับน้ำแข็งอย่างรุนแรงถึงขั้นแตกหัก นาฬิกาทรายร้องไห้เสียใจหนีไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง
      เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่านาฬิกาทรายกับน้ำแข็งก็ยังไม่คืนดีกัน ต่างคนต่างอยู่คนละซีกโลก จนมาวันหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่  ทำให้โลกจะต้องแตกออกเป็นสองส่วน น้ำแข็งรู้ดีว่าถ้าโลกแตกเป็นสองส่วนแล้ว ก็คงไม่ได้เจอกับนาฬิกาทรายตลอดกาล แต่ด้วยทิฐิที่มีอยู่น้ำแข็งจึงเลือกที่จะอยู่นิ่งๆแทนที่จะออกตามหานาฬิกาทราย ดวงจันทร์โคจรผ่านมา น้ำแข็งจึงถามว่าอีกซีกโลกเป็นอย่างไรบ้าง  ดวงจันทร์บอกว่า นาฬิกาทรายกลับมาไม่ทันเพราะโลกกำลังจะแยก จึงปล่อยทรายออกมาปกคลุมรอยแตกของโลก
เพื่อยึดไว้ไม่ให้แยกออกจากกัน โดยหวังว่าจะได้กลับมาพบน้ำแข็งอีก ทันทีที่รู้ น้ำแข็งก็รีบออกตามหานาฬิกาทราย........
       สายเกินไป ทรายกำลังจะหมดจากตัวนาฬิกาแล้ว เมื่อน้ำแข็งมาถึงก็ได้ยินเพียงคำพูดสุดท้ายจากปากของนาฬิกาทราย "ฉันรักเธอ"  ความเย็นชาที่มีในตัวน้ำแข็งหมดลงทันที น้ำแข็งจึงเริ่มละลายในขณะที่ทรายเม็ดสุดท้ายร่วงลงสู่พื้นดิน กลายเป็นน้ำทะเลที่อ่อนโยน คอยโอบอุ้มผืนทรายที่บริสุทธิ์ อยู่คู่กันมาจนทุกวันนี้

แม่คะ...หนูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ถึงไม่ยอมฟังหนูบ้าง 

       “แม่ค่ะหนูสอบได้ที่ 1 คะ”  เด็กสาวตัวเล็กวิ่งเข้ามาบอกแม่ด้วยเสียงหน้ายิ้มแย้ม “เก่งมากเลยจ๊ะ
น้ำนี่ทำอะไรก็ดีไปหมดเลยนะ สมเป็นลูกแม่กับพ่อเลย” หญิงมีอายุผู้เป็นแม่ลูบหัวอย่างอ่อนโยน “
งั้นวันนี้เราก็มีข่าวดี 2 เรื่องเลยสิ ยังงี้ต้องฉลอง” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังประตูด้านใน
น้ำหันไปมองอย่างสงสัย “อะไรคะ พ่อ” น้ำเดินเข้าไปหาชายผู้เป็นพ่อ “หนูกำลังจะมีน้องไง”
น้ำได้ฟังข่าวดียังตื่นเต้นวิ่งกลับมาหาแม่แล้วกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
      ผ่านไป 10 ปี…ขณะนี้น้ำอยู่ ม.6 แล้ว ส่วนนัทน้องชายอยู่ ม.2  พ่อของน้ำและนัทได้จากไปแล้วด้วยอุบัติเหตุทำให้แม่ต้องรับดูแลทั้งสองดูความยากลำบาก  แต่ทั้งสองก็ยังทำให้แม่ภูมิใจในด้านการเรียนและวันนี้เป็นวันประกาศผลสอบของทั้งสองคน  “เป็นไงบ้างจ๊ะ” แม่ถามเมื่อทั้งสองกลับถึงบ้าน “ผมได้ 4.00 ครับ” นัทบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแม่ก็ยิ้มให้ แล้วก็หันไปทางน้ำ ซึ่งน้ำทำท่าไม่อยากพูด “เท่าไรจ๊ะ” แม่ถามย้ำอีกที “3.49 คะ” น้ำก้มหน้าไม่กล้ามองหน้าแม่ “เรียนยังไงเนี่ยน้ำเกรดถึงลดอย่างนี้ ลูกทำให้แม่ผิดหวังมากเลยนะรู้หรือเปล่า วัน ๆ มัวแต่เล่น ไม่ยอมดูหนังสือเป็นยังไงละ ดูอย่างน้องบ้างสิไม่เคยทำให้แม่ผิดหวังซักครั้งเดียวเลย ลูกนี่แย่จริง ๆ กลับบ้านไปเข้าห้องไปเลยนะ เย็นนี้ไม่ต้องกินข้าว” เสียงที่ออกมาด้วยอารมณ์โกธรของแม่ ทำให้น้ำถึงกับน้ำตาซึม นัทก็ยังมองพี่สาวด้วยสายตาเยาะเย้ย
      เมื่อกลับถึงบ้านน้ำก็เข้าห้องตามที่แม่บอกนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องที่มืดมิดจนกระทั่งหลับไป
วันหนึ่งทางโรงเรียนก็ได้ส่งใบเลือกเรียนคณะในมหาวิทยาลัยมาให้  “น้ำ ลูกต้องเลือกแพทย์รู้ไหม จะได้มาช่วยเหลือแม่ได้” น้ำฟังด้วยสีหน้ากลุ้ม ๆ “แต่หนูคิดว่าหนูเรียนไม่ไหวคะแม่และหนูก็ไม่ชอบด้วย”
พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ “อะไรกัน จะทำให้แม่ดีใจซักอย่างไม่ได้เหรอไง ตอนม.ต้นก็เหมือนกัน
บอกให้เรียนสายวิทย์ก็ยังจะเถียงว่าไปเรียนสายศิลป์  ทีนี้จะมาเถียงอีกเหรอไง”  แม่ตวาดออกมากด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ  “แต่หนูก็เรียนสายวิทย์อย่างที่แม่ต้องการนี่คะ” น้ำพูดออกอย่างน้อยใจ “ไม่ต้องมาเถียงเลย แม่เป็นคนจ่ายเงินให้เรียน ถ้าไม่เลือกเรียนตามที่บอกแกก็ไม่ต้องเรียน”  แม่พูดจบก็เดินออกไปจากห้อง
น้ำก็ได้แต่นั่งนิ่งไม่รู้ว่าควรทำอะไรไม่รู้ต้องทำอะไรบ้างในบ่ายวันนั้น  ในตอนเย็นทั้งสามกำลังรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน “แม่ครับ ผมอยากได้คอมเครื่องใหม่” นัทบอกออกมาระหว่างทานอาหาร
“ได้สิจ๊ะลูก คนที่เรียนดีทำให้แม่ภูมิใจไม่ได้มาทำให้แม่ผิดหวังอยากได้อะไรแม่ก็ให้ได้”
       แม่พูดขึ้นพร้อมปรายตามองลูกสาวด้วยความขุ่นเคือง น้ำก็นั่งทานอย่างเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกที่อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เมื่อกลับเข้ามาในห้องน้ำก็นั่งเล่นเน็ตเพื่อหวังจะคลายเครียดบ้าง นัทก็เข้ามาในห้อง  “เข้ามาทำไม” น้ำถาม “ผมขอยืมนาฬิกาปลุกหน่อยสิ” น้ำก็หยิบให้ นัทเมื่อได้ของก็กำลังจะเดินออกพอดีสายตาหันไปเห็นกองผ้าที่อยู่บนเตียงพี่สาว “ได้ของก็ออกไปสิ” น้ำบอกเมื่อเห็นว่าน้องชายยังไม่ออก “อะไรอะพี่” น้ำหันมาดูสิ่งที่นัทถาม “อ้อ ผ้าห่มนะพี่จะถักให้แม่ในวันเกิดปีนี้  ตัวนี้พี่ถักมาตั้งแต่ ม.4 น่ะ” น้ำเอ่ยอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงวันที่กำลังจะมาถึง  “เหอะ ลำบากจะตาย ทำไมไม่ซื้อแบบสำเร็จล่ะ
นั่งถักอยู่ได้” นัทบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก  “นายไม่รู้หรอกว่าการที่มอบของให้ใครสักคนหนึ่งด้วยฝีมือที่ทำด้วยคนเองมันรู้สึกยังไง ไป ๆๆ ออกไปได้แล้ว” น้ำดันตัวนัทออกจากนอกห้องแล้วปิดประตู
      จากนั้นก็หันมามองผ้าห่มที่ถักเกือบเสร็จด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความรักแล้วก็หันไปเล่นคอมต่ออย่างมีความสุข อยู่มาวันหนึ่งขณะที่น้ำกำลังนั่งถักผ้าห่มที่จะมอบให้แม่ในอีกไม่กี่วันนี้อยู่ในห้อง ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรงแม่ก้าวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกอารมณ์แย่สุด “นี่มันอะไรกัน” กระดาษบางอย่างลอยมากระทบหน้าน้ำเต็ม ๆ “อะไรคะ”  น้ำถามอย่างตกใจ “ดูเอาสิ ผลงานตัวเองนี่ ไม่ได้คิดถึงเงินแม่เลย” แม่พูดด้วยน้ำเสียงโมโหสุด ๆ น้ำก็หยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นรายจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือของแม่ ซึ่งแพงมากเกือบหมื่น “โห ทำไมแพงอย่างนี้” น้ำอุทานออกมา “ยังจะมาถามอีก” น้ำพอรู้ว่าแม่มาว่าเรื่องอะไร “ไม่ใช่หนู”   น้ำพยายามจะเถียง “ก็เดือนนี้ เอามือถือของแม่ไปใช้ทั้งเดือนแล้วยังจะว่าไม่ใช่อีกเหรอ”
น้ำก็ส่ายหัว “แต่นัทเขาขอยืมต่อไปตั้งแต่ต้นเดือนแล้วนี่คะ”  น้ำพยายามบอกความจริงกับแม่แต่ในตอนนี้
คงไม่มีอะไรหยุดยั้งอารมณ์โกธรได้อีกแล้ว  “นี่อะไรยังจะมาโทษน้องอีกเหรอ ทำไมเป็นคนแบบนี้”
พูดจบมือก็ตวัดออกไปอย่างรวดเร็ว น้ำจับแก้มของตัวเองที่แดง “แต่หนูเปล่านี่คะ” น้ำตาเริ่มไหลรินออกมาไม่ใช่เพราะเจ็บที่แก้มแต่เจ็บที่ใจมากกว่าเพราะแม่ยังไม่เคยตบหน้าน้ำมาก่อน  “ไม่ต้องมาเถียงเลย
แกมันทำตัวเลว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ทำไม่ดีไปหมดแล้วยังจะมาโยนความผิดให้น้องอีก วันๆมัวแต่ทำอะไรเนี่ย เนี่ยทำไปทำไม”  แม่กระชากผ้าห่มมาจากมือน้ำแล้วฉีกทิ้งอย่างไม่ใยดีจากนั้นก็ปาใส่หน้าน้ำแล้วเดินออกไปด้วยความโมโห น้ำก็ร้องไห้อย่างไม่หยุดถึงอยากจะหยุดแต่น้ำตาก็ไม่ยอมหยุดไหลเสียแล้ว
      ในเช้ารุ่งขึ้นน้ำและนัทได้มานั่งรอทานอาหารที่โต๊ะ แม่ก็เดินเข้ามา “นัทกินไปก่อนเถอะลูก แม่ทานไม่ลง” แม่ทำท่าจะเดินออกไป น้ำก็ลุกขึ้นยืน “ไม่ต้องหรอกคะแม่ เดี๋ยวหนูไปเอง” น้ำรู้ดีว่าตนเข้าหน้าแม่ไม่ติดเพราะเรื่องค่าโทรศัพท์จึงเดินออกจากบ้านไปด้วยหัวใจที่เก็บความทุกข์มากมายเอาไว้
“มีอะไรกันเหรอครับ”  นัทถามขึ้นมาอย่างสงสัยเพราะไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น  “ไม่มีอะไรหรอกลูก แค่คนที่ไม่รู้จักกตัญญู ทั้งที่รู้ว่าเราไม่ค่อยรวยแต่ก็ยังใช้เงินเกินตัว แถมยังมาโทษน้องตัวเองได้ลงคอ” แม่พูดออกมาอย่าง โมโห  “พี่น้ำเขาโทษอะไรผมเหรอครับ” นัทถามอย่างโกธร ๆ เมื่อรู้ว่ามีการกล่าวถึงตนด้วย
“ก็เค้าโทษว่าลูกเป็นคนใช้โทรศัพท์ของเดือนที่แล้ว” แม่บอก “อ้อ ครับเดือนที่แล้วผมไปขอมือถือแม่จากพี่เค้ามาใช้เอง ทำไมเหรอครับ มันแพงมากเลยเหรอ” นัทถามออกมาอย่างซื่อ ๆ  แม่ก็ชะงักเมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร “
      เพล้ง!!!”  ทั้งสองหันไปมองรูปน้ำตอนสมัยเด็ก ๆ ร่วงลงมาแตก “อ๊อดดดดดด” เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น นัทวิ่งออกไปดูแล้วรีบวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ “แม่ครับตำรวจมา” ทั้งสองออกไปพบตำรวจพร้อม ๆ กัน “มีอะไรเหรอคะ” แม่ถามด้วยน้ำเสียงกังวลเพราะรู้สึกไม่สบายใจ “คุณเป็นญาติกับนางสาวน้ำทิพย์หรือเปล่าครับ” หัวใจของหญิงสาวกระตุกขึ้นมา “ค่ะ ดิฉันเป็นแม่ของเขา” น้ำเสียงที่บอกถึงอารมณ์ที่ไม่ปกติ “ผมคงต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ คือลูกคุณถูกรถชนเสียชีวิตเมื่อกี้นี้ครับ ตอนนี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาล ผมขอตัวก่อนนะครับ” ตำรวจเดินจากไป  “ไม่จริง นัทแม่หูฝาดไปใช่ไหมลูก แม่หูฝาดไปใช่ไหม”   เสียงที่สั่นดังขึ้นพร้อมกับเขย่าตัวลูกชายที่ยืนนิ่ง ๆ  “ ไม่ครับ แม่ไม่หูฝาดหรอกครับ” นัทบอกด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างไปจากแม่เลย ที่โรงพยาบาลแม่กอดศพของน้ำพร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหลออกมาจนจะไม่มีอีกแล้วถ้าหลั่งเลือดต่อออกมาได้ก็คงหลั่งออกมา “น้ำ แม่ขอโทษ แม่รู้ว่าแม่ผิดที่ฟังไม่หนู น้ำตื่นขึ้นมาสิลูก ลูกอยากจะเรียนอะไรก็เรียนไปเลยแม่ไม่ว่าหรอกลูกอยากได้อะไรแม่ก็จะให้ขอเพียงลูกตื่นขึ้นมา น้ำฟื้นขึ้นมาสิลูก น้ำลูกแม่”  ร่างที่นอนไร้วิญญาณถูกเขย่าจนบุรุษพยาบาลต้องจับตัวออกมา นัทก็ได้แต่นั่งเศร้าพูดอะไรไม่ออก อยู่ด้านนอก หลังจากเสร็จงานศพแม่ได้แต่นั่งเหม่อคิดถึงลูกสาวอยู่ในห้องของน้ำ
       นัทก็เดินเข้ามาหา “แม่ครับทานข้าวเถอะครับ แม่ไม่ได้ทานอะไรมาหลายวันแล้วนะครับ นัทเดินมานั่งข้างๆ แม่แต่แม่ก็ยังคงนั่งเฉย นัทก็เงยหน้าขึ้นไปบนตู้หนังสือของน้ำก็เห็นสมุดเล่มหนึ่งแตกต่างจากเล่มอื่นจึงลุกขึ้นหยิบมาดูก็พบว่าเป็นไดอารี่ของพี่สาวตน นัทจึงยื่นให้แม่ แม่จึงเปิดอ่านอย่างเศร้าใจ 
‘พ่อค่ะแม่ค่ะวันนี้หนูดีใจจังเลยจะได้มีน้องกับเขาแล้ว…วันนี้พ่อกับแม่ชมหนูอีกแล้ว…เย้
น้องเกิดแล้วหนูดีใจจังที่แม่ยอมให้หนูตั้งชื่อว่าน้องว่านัท…วันนี้น้องนัททำข้าวหกแม่เลยดุหนู
แต่หนูก็รักแม่คะ…พ่อเสียแล้วเพราะอุบัติเหตุ ทำไมหนูถึงรู้สึกหดหู่ยังนี้คะ แต่ก็คงจะสู้แม่ไม่ได้หรอก
หนูรู้ว่าแม่เสียใจกว่าหนูมากมาย หนูสงสารแม่จังคะ…วันนี้หนูได้ทำให้แม่ยิ้มได้หลังจากที่พ่อเสียไป
หนูมีความสุขน่ะที่เห็นรอยยิ้มของแม่…เย้ วันนี้ขึ้นม.ต้นวันแรก สนุกจังเลย หนูหวังว่าหนูจะเรียนให้แม่ภูมิใจได้นะคะ…แม่คะหนูรู้ว่าหนูผิดที่เรียนตกแต่หนูก็พยายามแล้วนะคะ หนูขอโทษคะที่หนูทำให้แม่ผิดหวัง แม่จะว่าหนูยังไงแต่หนูก็รักแม่คะ…ใกล้ถึงวันเกิดแม่แล้วหนูจะมอบผ้าห่มเป็นของขวัญให้แม่นะคะ หนูถักเองเลยตั้งแต่ม.4 ปีนี้ก็เสร็จแล้ว หนูจะได้มอบให้แม่แล้ว…แม่คะหนูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ถึงไม่ยอมฟังหนูบ้าง หนูหวังว่าเราคงจะได้คืนดีกันนะคะ หนูรักแม่คะ’ หยาดน้ำตาหยดลงในกระดาษหน้าสุดท้ายที่เขียนด้วยลายมือที่สวยงาม
      นัทสงสารแม่มากจึงเข้ากอดแม่ด้วยความรัก แต่แล้วสายตาก็หันไปเห็นผ้าห่มที่ถูกฉีกขาดออกกองอยู่ข้าง ๆ เตียง“เอ๊ะ! นี่มันของขวัญที่พี่ถักให้แม่นี่ครับ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ละ เห็นพี่บอกว่าถักตั้งแต่ ม.4” นัทหยิบขึ้นมาแม่ก็หันไปมองแล้วก็นึกถึงวันที่ตนเข้ามาต่อว่าลูกสาวแล้วฉีกผ้าชิ้นนี้ด้วยความโมโห จึงดึงผ้ามาจากมือนัทแล้วซบหน้าลงกับผ้าผืนนั้น “แม่ขอโทษ...น้ำ” เสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับถ้อยคำที่พร่ำบอกอย่างเบา ๆ

เกาะแห่งความรู้สึก

       กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเกาะแห่งหนึ่งซึ่งรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดอาศัยอยู่ด้วยกันความสุข ความเศร้า ความรู้ และอื่นๆ รวมทั้งความรัก วันหนึ่งมีประกาศไปยังความรู้สึกทั้งหมดว่าเกาะกำลังจะจมดังนั้น ทั้งหมดจึงได้เตรียมเรือเพื่อที่จะหนีออกจากเกาะความรักเท่านั้นที่ตัดสินใจอยู่บนเกาะความรักต้องการที่จะอยู่จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย  เมื่อเกาะเกือบจะจมแล้ว ความรักจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือ…ความรวยแล่นเรือผ่าน ความรวยตอบว่า  "ไม่ได้หรอก. ฉันรับเธอไม่ได้หรอกเพราะเรือฉันน่ะเต็มไปด้วยทองและเงินแล้วมันไม่มีที่ให้คุณ "   ความรักตัดสินใจจะถามความเห็นแก่ตัวซึ่งผ่านมาเหมือนกันด้วย   "ความเห็นแก่ตัวช่วยฉันด้วย " "ฉันช่วยคุณไม่ได้หรอกความรัก คุณน่ะทั้งเปียกอาจจะทำให้เรือฉันเปียกด้วย" ความเศร้าได้พายเรือใกล้เข้ามาความรักก็ได้เอ่ยขอความช่วยเหลืออีก"ความเศร้าอนุญาตให้ฉันขึ้นเรือคุณนะ " "โอ้ความรักฉันกำลังเศร้ามากเลยฉันต้องการอยู่คนเดียวขอโทษนะ "ความสุขได้ผ่านความรักไปเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้ยินแม้เสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือของความรักเพราะมัวแต่กำลังสุข  
      ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา  "มานี่ความรักฉันจะรับคุณไปเอง "เสียงนั้นเป็นของคนแก่คนหนึ่ง  ความรักรู้สึกขอบคุณและดีใจเป็นอย่างมาก จนลืมถามชื่อว่าใครคือผู้ใจดีผู้นั้น เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินที่แห้ง คนแก่ก็จากไปตามทางของเขา  ความรักนึกขึ้นมาได้ว่าลืมถามชื่อชายแก่คนนั้น ความรักจึงถามความรู้และคนแก่คนอื่น ๆ …. "ใครเหรอที่เป็นคนช่วยฉัน "  ความรู้ตอบอย่างภาคภูมิใจในความรอบรู้ของตนเองว่า " เวลา " 

       ความรักถามต่อว่า  "แต่ทำไมเวลาถึงช่วยฉันละ "  ความรู้ยิ้มในความรอบรู้ของตัวเองแล้วตอบความรักว่า "ก็เพราะว่าเพียงเวลาเท่านั้นที่เข้าใจว่า.....ความรักยิ่งใหญ่แค่ไหน..."   แต่ว่า...มีสิ่งหนึ่งที่เราอาจลืมเลือนไป ถ้าหากจะไม่กล่าวถึงเสียเลย

       ขณะที่ความรักกำลังมองหาคนช่วยออกจากเกาะ  ความรักคงยุ่งอยู่กับการมองหาผู้อื่น..  จนลืมมองมาที่ความเป็นเพื่อน... ซึ่งเลือกที่จะอยู่เคียงข้างความรักตั้งแต่แรกแล้ว  เพราะความเคยชินจึงทำให้ความรักมองไม่เห็นความสำคัญของความเป็นเพื่อน...ในขณะที่ความรักจากไปพร้อมกับเวลา ความเป็นเพื่อนรู้สึกดีใจมากที่ความรักปลอดภัยและแม้จะต้องห่างกัน

       แต่ความเป็นเพื่อนกลับรู้สึกเป็นสุขเพราะความเป็นเพื่อนรู้ดีว่า..ถึงแม้เกาะนี้จะจมลงไปชั่วนิรันดร์แต่...ความเป็นเพื่อนจะยังเป็นอมตะในใจของความรักตลอดไปแม้จะไม่ยิ่งใหญ่.....แต่จะคงอยู่เคียงข้างความรักเสมอ ความเป็นเพื่อนรู้ดีว่าตน.. ไม่จากไปเหมือนกาลเวลา ความเป็นเพื่อนรู้ดีว่าตน...ไม่รังเกียจกันเหมือนความเห็นแก่ตัว ความเป็นเพื่อนรู้ดีว่าตน...ไม่แบ่งชั้นกันเหมือนความรวย   ความเป็นเพื่อนรู้ดีว่าตน...ไม่อ้างว้างเหมือนความเศร้า และความเป็นเพื่อนรู้ดีว่าตน...ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนความสุข ทั้งนี้ก็เพราะ... " ความเป็นเพื่อนจะอยู่ในใจตลอดไป "

ฉันจะอยู่ข้างเธอ

       ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง มีเพื่อนต่างเพศอยู่คู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่รักกันมาก ฝ่ายชายจะเดินไปส่งฝ่ายหญิงที่บ้านเสมอทุกวัน เวลาผ่านไป จนทั้ง สองอยู่ มหาวิทยาลัย ฝ่ายหญิงเริ่มไปแอบชอบ ผู้ชายคนนึง และได้ถามเพื่อนชายว่า "นี่ เธอ ว่า เค้าเหมาะกับเราไหม" "เค้าก้อ หล่อดีนะ นิสัยก็ดีด้วย "  "เหรอ! อืม อยากให้เค้ามานั่งอยู่ข้างๆ เราจังเลยเนอะ"  ต่อมาไม่นาน หญิงสาวก็ได้เป็นแฟน กับผู้ชายคนนั้นจริงๆ วันนึงหญิงสาวบอกกับ เพื่อนชายของตนว่า "นี่ เธอ ไม่ต้องมาส่งเราทุกวันแล้วแหละ ตอนนี้เค้าจะมาส่งเราแล้ว เราไม่อยากให้ เค้าเข้าใจ ผิดน่ะ"  "อืม" ฝ่าย ชายตอบรับ และเขาก็ไม่ได้ไปส่งหญิงสาวอีก  ต่อมาหญิงสาวเกิดทะเลาะกับแฟน ของตน  จึงมาปรึกษาเพื่อนชาย ว่า  "เธอ! เด๋ว นี้เขาไม่ค่อยสนใจเราเลยแหละ เธอว่า... เราจะทำอย่างไร ดีหล่ะ!"  "ก้อ เธอ ยังรักเค้าอยู่หรือป่าวหล่ะ" ฝ่ายชายถาม  "ก้อรักสิ และก้อรักมากด้วย"  "ถ้าอย่างนั้น ก็มอบความรักให้เขาต่อไปสิ ก้อเธอรักเค้านี่หน่า"  "อืม ม" หญิงสาวทำตามคำแนะนำของเพื่อนชาย  หลังจากนั้น ... วันหนึ่ง ระหว่างที่เพื่อนชายหนุ่ม เดินกลับบ้าน เค้าเห็นหญิงสาว  นั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง  "เธอ เป็น อะไรหน่ะ ทำไมถึงร้องไห้ มีอะไรให้เราช่วยไหม"  "เค้าไม่ รักเราเลยหล่ะ เขาเปลี่ยนไป  เด๋วนี้เขาไม่เคยมาส่งเรา ที่บ้านเลย" "แล้วเราจะ ช่วยอะไรเธอได้บ้างหล่ะ"   "ช่วยอยู่ กับเราซักพักได้ไหม?" หญิงสาวร้องขอ  ก้อได้ซิ! ทำไมจะไม่ได้หล่ะ ทั้งสองได้นั่งอยู่ด้วยกัน โดยไม่พูดจาอะไรกันเลย
ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ย ขึ้นมาว่า  "เราควรจะ ทำอย่างไรดี เธอจะช่วยบอกเราได้ไหม ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี" "เธอยังรัก..เขาอยู่หรือป่าวหล่ะ"  "รักสิ เรา รักเค้ามากเลย"  "แต่เค้า ไม่รักเราเลยนี่หน่า" หญิงสาวร้องไห้โฮ "แต่เธอก็รัก..เขาไม่ใช่เหรอ" และชายหนุ่มก็ไปส่งหญิงสาว ที่บ้านอย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน  "ถ้า เมื่อไหร่...ก็ตาม ที่เธออยากให้เรามาส่งเธอที่บ้าน อย่าลืมเรียกเรา นะ"  "อืม" และ หญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป  ต่อมาวันหนึ่งชายหนุ่มได้ รับโทรศัพท์จากหญิงสาว  "เราไม่ไหวแล้ว ช่วยมารับเราที" เสียงของหญิงสาวดูช่าง อ่อนล้า และหมดกำลัง  เธอกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอยู่ ชายหนุ่มได้ไปหาเธอและพาเธอมาส่งบ้าน  เธอยังคงถามชายหนุ่มนั้น เหมือนที่เคยถามมา  "เราจะทำอย่างไรต่อไปดี" เราไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว..ดูยังไง ๆ เขาก็เหมือนไม่ได้รักเราเลย  "แล้วเธอเลิก รักเค้าแล้วเหรอ"  "ป่าว! เรา ยังรักเค้ามาก เรายังรักเขาอยู่เหมือนเดิม"  "งั้นก็ เหมือนที่เราเคยพูดไว้ จงรักเขาต่อไป..แม้มันจะเจ็บบ้างก็ตาม  เพราะมันไม่สำคัญหรอกว่า เขาจะรักเธอไหม..? แต่ถ้าเธอยังรักเขา  เธอก็คงทำได้แค่เพียงรักเขา...และจงรักเขาให้มากกว่าเดิม เพื่อแสดงให้เขารู้ว่าเธอรักเขามาก และก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง มีแต่เพิ่มมากขึ้น" อือ ม..แล้วหญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป           
      และในที่สุดวันที่เธอเรียนจบก็มาถึง เพื่อนชายหนุ่มของเธอมาแสดงความยินดีกับเธอ เธอรู้สึกแปลกใจมาก ที่เพื่อนชายหนุ่มของเธอ ยังเรียนไม่จบ เธอถามเขาว่า ทำไม..?  ชายหนุ่มตอบว่า เขาขี้ เกียจไปหน่อย  ทำให้เขาต้องเรียนซ้ำวิชา หนึ่งจึงยังเรียนไม่จบ  หญิง สาวแปลกใจ เพราะตลอดมา ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนขยัน  แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ  และต่อมาไม่นานแฟนของหญิงสาว ก็ได้มาขอเธอแต่งงาน  เนื่องด้วยเห็นถึงความรัก ที่หญิงสาวมีให้  หญิงสาวจึงได้ไปชวนเพื่อนชาย เพื่อให้มางานแต่งของเธอ  "เราไม่ว่างจริงๆ เราติดธุระน่ะ! ขอโทษด้วยนะ"  เพื่อนชายตอบเธอด้วยน้ำ เสียงแผ่วเบา  หญิงสาวโกรธและเสียใจที่ เพื่อนชายไม่ยอมมางานแต่ง จึงวางหูกระแทกไป แต่หญิงสาวก็ต้องประหลาดใจ เมื่อวันที่เธอแต่งงาน   ชายหนุ่มได้มาปรากฎตัวก่อนที่งาน แต่งจะจบลง "ยินดีด้วยนะ เรามาแล้วหล่ะ" หญิงสาวดีใจมากที่เห็นเพื่อนชาย ของเธอมา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม  เธอรู้สึกมีความสุขมาก ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมาไม่ได้  และเพื่อนชายก็พูดว่า เธอมีอะไรให้เราช่วยไหม..?   ยิ่งทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม   ต่อมาหญิงสาวก็มีความสุข กับชีวิตแต่งงานของเธอ  จนไม่มีเวลาได้ติดต่อกับเพื่อนชายอีกเลย  

จนวันหนึ่งหญิงสาวได้ ทะเลาะกับสามีของตน หญิงสาวไม่รู้จะไปปรึกษาใคร จึงนึกถึงเพื่อนชายขึ้นมา แม้ว่าหญิงสาวจะโทรไปหาเท่าไหร่?  ก็ไม่สามารถติดต่อกับชายหนุ่มคนนั้นได้เลย เขาจึงโทรไปหาเพื่อนของชายหนุ่มคนนั้น เพื่อนของชายหนุ่มเล่า ว่า ชายหนุ่มเป็นโรคร้าย เขาไม่สามารถไปไหนได้  ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล... มาร่วมหลายเดือนแล้ว หญิงสาวตกใจมาก ถามว่า..เขาเป็นอะไร?  เพื่อนชายหนุ่มบอกว่า อาการเขากำเริบ เพราะวันที่ชายหนุ่มต้องมาผ่าตัด  ชายหนุ่มดัน ...หายตัว ไปเฉย ๆ โดยไม่มีใครรุ้   และเพื่อนของชายหนุ่ม ก็ยังบอกอีก ว่า ..."มันเป็นนิสัยเสียของมันหน่ะ  มันชอบหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ ในช่วงเวลาสำคัญๆ  คราวที่แล้วตอนสอบไล่ มันก็หายตัวไปจากห้องสอบเฉยเลย"   ไม่รู้มันหายไปไหน..ถามใคร ก็ไม่มีใครรู้   หญิงสาวตกใจมาก เลยขอที่อยู่ของโรงพยาบาลที่ชายหนุ่มรักษาตัว
หญิงสาวไปเยี่ยมชายหนุ่ม ที่โรงพยาบาล
      เมื่อเปิดประตูเข้าไป  ก็ต้อง ตกใจ ! ชายหนุ่มที่เคยดูแข็งแรง กับผอมซูบ ไม่มีแรง  เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอก็ดีใจ ทักทาย เธอเป็นการใหญ่   "เป็นอย่าง ไรมั่ง ไม่เจอกันตั้งนานเลยน่ะ"  หญิงสาวนิ่งพลุกพล่านซักพัก น้ำตาหญิงสาวก็ไหลออกมา  "อ้าวร้อง ไห้ทำไมหล่ะ เธอหน่ะ ไปทะเลาะกับแฟนมาอีกแล้วเหรอ  จะให้เราช่วยอะไรไหม...?    แต่เราก็คงจะแนะนำเธอ ได้เหมือนเดิมนะ"   หญิงสาวเข้าไปหาชายหนุ่ม แล้วก็บอกกับชายหนุ่มว่า    วันที่เธอ มารับเราเป็นวันสอบไล่เธอใช่ไหม..?"   ชายหนุ่มทำหน้าตกใจและไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น กลับนิ่งพลุกพล่านไป  หญิงสาวจึงพูดต่อ   "และวันที่ เธอต้องผ่าตัดใหญ่ เธอกลับมางานแต่งงานของเราใช่ไหม..?"  ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว กลับนิ่งพลุกพล่านกว่าเดิม หญิงสาวเข้าไปกอดชายหนุ่ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ   "ตลอดเวลา เรารักแต่คนอื่น  มองแต่คนอื่นเรากลับไม่รู้เลยว่าเธอรักเรามากแค่ ไหน  เรารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ ไม่ได้รักเธอมากกว่านี้"  ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแล้วก็บอก  กับหญิงสาวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า   "เราบอกเธอ แล้วไง..ถ้าเรารักใครสักคน เราก็ต้องรักเขาให้มากๆ  และมากขึ้นกว่าเดิม  มันไม่สำคัญหรอก..ว่าเขาจะรักเราหรือไม่  มันสำคัญแค่เพียงว่า..เรายังรักเธออยู่หรือเปล่า  แค่เราสามารถช่วยเธอได้ นั่นมันก็เป็นความสุขของเราแล้ว  ต่อให้เราจะเจ็บสักแค่ไหน..เราก็ยังรักเธอต่อไป และไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก นั่งร้องไห้โฮ...อยู่ที่ตักของชายหนุ่ม ชายหนุ่มจึงพูด... ขึ้น ว่า "ถ้าเราหาย เมื่อไหร่... เราจะไปส่งเธอที่บ้านอีกนะ "

ตุ๊กตา 486 ตัว

       ฉันมีแฟนอยู่หนึ่งคน เราเติบโตมาด้วยกัน ชื่อว่าจิน ฉันคิดกับเขาแค่เพื่อนมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่เราไป Club trip ด้วยกัน ฉันพบว่าฉันตกหลุมรักเขาสะแล้ว ก่อนที่เราจะกลับจากที่ไปเที่ยว ฉันได้สารภาพรักกับเขา  ในไม่ช้า, เราก็กลายมาเป็นคู่รักกัน แต่เราสองคนรักกันในทางที่ต่างกัน ฉันสนใจแต่เขาเพียงคนเดียวเสมอ แต่ว่า ข้างกายเขา,  กลับมีผู้หญิงหลายคนเข้ามา  สำหรับฉันแล้ว เขาเป็นผู้ชายคนเดียว แต่สำหรับเขา ฉันอาจจะเป็นเพียง ผู้หญิงคนนึงเท่านั้น
       "จิน, อยากไปดูหนังไหม" ฉันถามเขา  "เราไปไม่ได้"  "ทำไมเหรอ, หรือว่าต้องอ่านหนังสือที่บ้าน?"  ฉันรู้สึกถึงความผิดหวังที่เข้ามาในใจฉัน  "เปล่าหรอก, เรานัดกับเพื่อนไว้..."  เขาจะเป็นแบบนี้เสมอ เขาพบเพื่อนผู้หญิงต่อหน้าฉัน เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สำหรับเขาแล้วฉันคือ เพื่อนหญิงคนนีงเท่านั้น คำว่ารัก แค่ออกมาจากปากของฉันเท่านั้น ตั้งแต่ฉันรู้จักเขา, ฉันไม่เคยได้ยินเขาพูดคำว่ารักมาก่อน ไม่เคยมีฉลองวันครบรอบสำหรับพวกเรา เขาไม่เคยพูดอะไรตั้งแต่วันแรก และมันก็เป็นแบบนั้นต่อ
      100 วัน ก็แล้ว.....200วันก็แล้ว ทุกวันก่อนที่เขาจะพูดคำลา, เขาจะแค่จะให้ตุ๊กตาตัวนึงกับฉัน, ทุกวัน, ไม่เคยตกขาด ฉันไม่รู้ว่าทำไม จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉัน:เออ, จิน, เรา จิน: อะไรเหรอ...อย่ามาอ้ำอึ้งหน่า, แค่พูดมา  
ฉัน: เรารักนายนะ   
จิน:....เออ, เอาตุ๊กตาตัวนี้ไปแล้วก็กลับบ้านซะนะ  นี่นเป็นการที่เขาไม่ใสใจคำ 3 คำของฉัน แล้วก็ส่งตุ๊กตาให้ฉัน
       จากนั้นเขาก็หายไป, เหมือนกับว่าเขากำลังวิ่งหนีฉัน ห้องฉันเต็มไปด้วยตุ๊กตาที่เขาให้ฉันทุกวัน ทีละตัวทีละตัว จนเต็มไปหมด จนวันหนึ่งมาถึง, วันเกิดของฉันตอนฉันอายุ 15  ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้า ฉันวาดฝันว่าจ่ะมีปาร์ตี้กับเขา, แล้วฉันก็ขังตัวเองไว้ในห้องนอน, รอโทรศัพท์จากเขา  แต่ว่า......ข้าวเที่ยวก็แล้ว...ข้าวเย็นก็แล้ว.....ในไม่ช้าท้องฟ้าก็กลายเป็นสีดำ...เขาก็ยังไม่ได้โทรมา ฉันก็ไม่อยากที่จ่ะเฝ้าดูโทรศัพท์อีกต่อไป จากนั้นประมาณตีสอง, เขาก็โทรมาหาฉัน แล้วก็ทำให้ฉันตื่น เขาบอกให้ฉันออกไปหาเขาที่หน้าบ้าน ฉันยังรู้สึกดี แล้ววึ่งออกไปหน้าบ้านอย่างมีความสุข
ฉัน:จิน

จิน:นี่.....เอานี่ไป      อีกแล้ว, เขาให้ตุ๊กตากับฉันอีกแล้ว
ฉัน: นี่อะไร
จิน: ไม่ได้ให้เมื่อวานนี้, ก็เลยต้องให้ตอนนี้, กลับบ้านก่อนนะ บาย
ฉัน: เดี๋ยว!เดี๋ยว! รู้ไหมว่าวันนี้วันอะไร?
จิน:วันนี้เหรอ? อู?
      ฉํนรู้สึกเศร้า, ฉันหลงคิดว่าเขาจำวันเกิดของฉันได้  เขาหันกลับไปแล้วก็เดินจากไปเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นฉันตะโกน เดี๋ยว!
จิน: มีไรจะพูดเหรอ?
ฉัน: บอกเรา, บอกเรามาว่านายรักเรา
จิน: อะไรนะ!
ฉัน: บอกเรามาสิ
      ฉันทิ้งความอ่อนแอของฉันไว้ข้างหลัง และจับตาเขาไว้ แต่ว่าเขาแค่พูดง่าย ๆ อย่างเหยือกเย็น แล้วก็ไป  "เราไม่อยากพูด....ว่าเรารักใครง่าย ๆ ถ้าอยากได้ยินมากนักละก็ หาคนอื่นแทนเราซะ"  นั่นคือสิ่งที่เขาพูด แล้วเขาก็จากไป ขาของฉันรู้สึกชา...แล้วฉันก็ทรุดลงไปบนพื้น เขาไม่อยากพูดมันง่าย ๆ เขาทำอย่างนั้นได้ไง? ฉันรู้สึกว่า บางทีเขาอาจจะไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับฉันก็ได้ จากวันนั้น, ฉันขังตัวเองในบ้าน และร้องไห้ แค่ร้องไห้ เขาไม่ได้โทรหาฉัน, ถึงยังไง ฉันก็ยังรออยู่ เขายังวางตุ๊กตาไว้หน้าบ้านฉันทุก ๆ วัน
      หลังจากเดือนนึงจากนั้น ฉันรวบรวมตัวเอง แล้วก็ไปโรงเรียน แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ความเจ็บปวดของฉันกลับมาอีกครั้งก็คือ ฉันเจอเขาบนถนนกับผู้หญิงคนอื่น เขามีรอยยิ้มบนใบหน้า, แบบที่เขาไม่เคยโชว์ให้ฉันเห็นตอนที่เขาจับตุ๊กตาที่จะให้ฉัน
       ฉันวิ่งตรงกลับบ้านและมองตุ๊กตาในห้อง, แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา เขาให้ตุ๊กตาฉันทำไม?  เขาอาจจะเอาตุ๊กตาพวกนี้มาจากผู้หญิงบางคน ด้วยความโมโหของฉัน ฉันขว้างตุ๊กตาพวกนั้นรอบห้อง ในทันทีทันใดนั้น โทรศัพท์ดัง มันเป็นเขา  เขาให้ฉันออกมาที่ป้ายรถบัสหน้าบ้าน ฉันพยายามจะทำใจให้เย็นลง แล้วเดินออกไปที่ป้ายรถ ฉันบอกกับตัวเองว่า ฉันกำลังจ่ะลืมเขา เรื่องของเราจ่ะจบลง จากนั้นเขาเดินมาหาฉัน ในมือถือตุ๊กตาตัวใหญ่ ๆ เอาไว้

จิน:โจ, ฉันคิดว่านายจ่ะโกรธมาก แต่ว่านายออกมาจริง ๆ เหรอ?  ฉันไม่สามารถหายเกลียดเขาได้ ฉันทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วก็หยอกเล่นกับเขา ในไม่ช้าเขาก็ให้ตุ๊กตากับฉันเหมือนอย่างเคย
ฉัน: ฉันไม่ต้องการมัน
จิน:อะไรกัน?..ทำไมหละ?
ฉันรวบตุ๊กตาจากเขาแล้วก็โยนมันทิ้งไปบนถนน
ฉัน: ฉันไม่ต้องการมัน ไม่ต้องการอีกต่อไปแล้ว!!    ฉันไม่อยากเจอคนอย่างนายอีกต่อไป! 
ฉันเอาทุกคำพูดจากข้างในของฉันออกมา แต่ไม่เหมือนวัน อื่น ๆ  ตาของเขากลับส่าย
"เราขอโทษ" เขาพูดคำขอโทษด้วยน้ำเสียงเล็ก ๆ
แล้วเขาก็เดินออกไปที่ถนนแล้วก็หยิบตุ๊กตาขึ้นมา  ฉัน: โง่จริง! ทำไมหยิบมันขึ้นมา!!! แค่โยนมันทิ้งไป
แต่ว่าเขาไม่ได้สนใจ แค่เดินไปหยิบตุ๊กตาขึ้น จากนั้น      บรืน~บรืน~
ด้วยเสียงอันดัง สิบล้อคันใหญ่ก็วึ่งมายังเขา
"จิน! หลบ! หลบออกไป!" ฉันตะโกน  แต่ว่าเขาไม่ได้ยินเสียงฉัน เขาก้มลงไปหยิบตุ๊กตา  "จิน!หลบไป"
บรืน~!!       ตูม!!
       เสียงนั้น ช่างน่ากลัวมาก  นั่นคือวิธีที่เขาจากไปจากฉัน จากไปจากฉันโดยไม่เคยเปิดตาที่จ่ะพูดคำใด ๆ   จากวันนั้น,  ฉันจะต้องผ่านความรู้สึกผิดและความเศร้าเพราะว่าสูญเสียเขา และหลังจากที่ฉันใช้เวลา 2 เดือน เหมือนคนบ้า, ฉันหยิบตุ๊กตาขั้นมา มันคือของขวัญอย่างเดียวที่เขาให้ตั้งแต่เราคบกัน ฉันจำวันเหล่านั้นที่ฉันใช้เวลาอยู่กับเขา และเริ่มนับวันที่เราเคยรักกัน
1...2...3         ...484...485
แล้วก็หยุดที่ตุ๊กตา 485 ตัว  แล้วฉันก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง พร้อมกับถือตุ๊กตาตัวนึงในแขนของฉัน  ฉันกอดมันอย่างแน่น,
       ทันใดนั้น  "ฉันรักเธอ~ ๆ"    ฉัน.รั..ก..เธอ??  ฉันหยิบตุ๊กตาขั้นมาแล้วก็กดลงไปที่ท้องของมัน "ฉันรักเธอ~ ๆ"   เป็นไปไม่ได้!  กดลงไปที่ท้องของตุ๊กตาทุกตัว แล้วข้าง ๆ ของฉันเต็มไปด้วยตุ๊กตา  "ฉันรักเธอ "   "ฉันรักเธอ "  "ฉันรักเธอ "  คำเหล่านั้นออกมาไม่หยุด  ฉัน...รัก....เธอ ทำไมฉันไม่รู้ตั้งแต่ตอนนั้น?  ว่าหัวใจของเขาอยู่ข้าง ๆ ของฉัน, ปกป้องฉันไว้
       ทำไมฉันไม่รู้ตั้งแต่ตอนนั้น ว่าเขารักฉันขนาดนี้?  ฉันหยิบตุ๊กตาอีกต้วหนึ่งใต้เตียง แล้วก็ กดท้องของมัน มันเป็นตุ๊กตาตัวสุดท้าย ตัวที่ตกบนถนน ยังมีคราบเลือดติดอยู่ เสียงที่ออกมาเป็นเสียงที่ฉันคิดถึงมาก
"โจ...รู้ไหมว่าวันนี้วันอะไร? เรารักกันมา 486 วันแล้วนะ นายรู้ไหมว่า  486  คืออะไร?   เราไม่สามารถบอกรักนาย....อืม...ตั้งแต่ที่ฉันอายเกินไป....ถ้านายให้อภัยเราและเอาตุ๊กตาตัวนี้ไป, เราจ่ะบอกว่า เรารักนาย...ทุกวัน...จนวันตาย
โจ...เรารักนาย...."   น้ำตาหล่นออกมาจากฉัน ทำไม? ทำไม? ฉันถามพระเจ้า, ทำไมฉันถึงเพิ่งมารู้ตอนนี้
เขาไม่สามารถอยู่ข้างกายฉันได้ แต่ว่าเขารักฉันจนนาทีสุดท้ายของเขา  สำหรับนั้น, และสำหรับเหตุผลนั้น...สำหรับฉัน...มันกลายมาเป็น ความแกร่ง....ที่จ่ะมีชีวิตอยู่อย่างสวยงาม   เหมือนยังกับคำๆพูดนี้เลย " จะรู้ค่ามันก้อสายเกินไปเลยอะ "

ผมรักแม่นะครับ.......แต่ผมทำได้แค่นี้

       มีครอบครัวหนึ่งอยู่กันมาอย่างรักใคร่กันเป็นที่สุดเพื่อนบ้านต่างอิจฉากับความรักใคร่กันของครอบครัวนี้ครอบครัวนี้มีด้วยกัน คน มีแม่ และลูกชายอีก คนวันหนึ่งผู้เป็นแม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยร้ายแรง นั่นก็คือโรคหัวใจ รุนแรงขนาดจำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจโดยด่วนลูกชายทั้ง คน เป็นห่วงแม่มากและ รู้ว่าตนเองนั้นต้องทำอะไรซักอย่างให้แม่บังเกิดเกล้าของพวกเค้าคนโตเป็นนักธุรกิจพันล้านมีธุรกิจใหญ่โตได้รับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในทุกๆด้านโดยยอมสละเวลาในการเซ็นสัญญาเพื่อมาคอยเฝ้าไข้แม่ของเค้า คนรองเป็นนายแพทย์ชั้นนำของโลกรับผิดชอบในการรักษาแม่และทำการเรียกประชุมสมาคมแพทย์ทั่วโลก เพื่อหาวิธีรักษาแม่ของเค้าคนเล็กยัง...ไม่มีงานทำ เนื่องจากตนนั้นมิได้เฉลียวฉลาดเหมือนกับพวกพี่ๆของเค้า และสำนึกตัวอยู่ตลอดว่าตนเองนั้นคงไม่มีกำลังพอที่จะช่วยแม่ได้อย่างที่พี่ๆทั้ง ทำได้ แต่เค้ารู้ว่าตนเองต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อแม่ของเค้า
      หนึ่งอาทิตย์ต่อมาการผ่าตัดหัวใจเป็นไปได้ด้วยดี และแม่ได้พบหน้าลูกทั้ง คนคือคนโตและรอง แต่กลับไม่ได้พบลูกคนเล็กแม่จึงถามว่า "น้องไปไหนหล่ะลูก แต่คนโตกลับบ่ายเบี่ยงไปว่าแม่พึ่งฟื้นให้ทานอาหารก่อนแล้วคนโตก็ออกไปนำอาหารมาให้แม่แม่ถามคนรองเหมือนอย่างเก่า "แล้วน้องเค้าไปไหนหล่ะลูก แต่คนรองก็บอกกับแม่ว่า "ผมต้องไปเอายามาให้แม่ทานหลังอาหารก่อนนะครับ" แล้วก้อเดินออกจากห้องไป แม่สงสัยมาก เพราะ อาการของลูกทั้ง ไม่เหมือนปกติเลย เมื่อทุกคนอยู่พร้อมกันแม่จึงถามขึ้นอีกครั้ง ตกลงน้องเค้าไปไหนหล่ะลูก ทั้ง อํ้าอึ้ง และไม่มีใครที่อยากจะตอบคำถามนั้นแม่ยํ้าอีกครั้ง "บอกมานะน้องเค้าไปไหน"คนโตหันหน้าไปมองแม่ด้วยนํ้าตาอาบแก้มน้องอยู่ในหัวใจแม่ครับ"
      แม่งงกับคำตอบของลูกคนโตมาก จึงหันหน้าไปถามลูกคนรองซึ่งกำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน แม่ทำสีหน้าตกใจแล้วถามไปว่าหมายความว่ายังไงลูก"ดวงตาเอ่อล้นด้วยหยดนํ้าที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อนและลูกคนรองกล่าวด้วยเสียงอันสั่นคลอน "พวกเรา คน พอรู้เรื่องในอาการของแม่ ก็กระวนกระวายใจ ผมและพี่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองทำได้และควรกระทำแล้ว และน้องได้ทำในสิ่งที่พวกผมไม่มีความกล้าพอที่จะทำให้แม่ โดยที่พวกผมจะมาเปลี่ยนเวรกันในตอนเช้า โมง เมื่อผมเข้ามาถึงกลับไม่เห็นน้องอยู่ในห้องของแม่ แต่มีโน๊ตเขียนไว้ตรงเตียงแม่ว่า "พี่รอง ผมอยู่ในห้องนํ้านะและไม่ต้องตกใจกับสิ่งใดที่จะเห็นทั้งสิ้น" ผมเดินไปที่ห้องนํ้าและผมก็ได้เห็นภาพที่ผมต้องทรุดตัวลงไปกับพื้น น้องได้ทำการฆ่าตัวตายโดยใช้มีดที่นำมาปอกผลไม้ กรีดลงไปที่ข้อมือตัวเองในอ่างนํ้าโดยให้เลือดไหลช้าๆ
      เพื่อที่หัวใจจะยังสามารถทำงานและสามารถนำมาช่วยแม่ได้ น้องเขียนจดหมายในห้องนํ้าไว้ว่า "นำหัวใจของผมไปรักษาแม่เถอะครับ ผมรักแม่ แต่ผมทำได้แค่นี้ ลาก่อนครับ ผมรักพี่มากฝากดูแลแม่ด้วยนะครับ"น้องตายแล้วเพราะเลือดไหลมากเกินไป และผมก็ได้นำหัวใจของน้องมาช่วยแม่ครับ คนรองพูดจบในขณะที่ยังร้องไห้ไม่หยุดมันไม่จริงใช่มั้ยลูก มันไม่จริงใช่มั้ย น้องแค่ออกไปหางานทำใช่มั้ย อย่ามาล้อเล่นกะแม่แบบนี้นะ แม่พูดออกมาด้วยเสียงตื่นตระหนก ลูกคนโตเข้าไปปลอบแม่ที่ยังปฎิเสธเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งนํ้าตา "แม่ครับพวกผม คนให้แม่ยังไม่ได้ครึ่งของน้องเลย เรา คนรักแม่มากและผมก็เข้าใจน้องดี แม่ต้องทำใจนะครับ" ลูกคนโตปลอบไปในขณะที่ยังร้องไห้ไม่หยุดพวกเรายังอยู่ด้วยกัน คนเหมือนเดิมนะครับไม่มีวันใดที่เราจะจากกันหรอกครับ...แม่สะอื้นทั้งนํ้าตา "แม่รักลูกทุกคนมากนะลูก และลูกทุกคนจะอยู่ในใจของแม่ตลอดไป"

Credit : Internet

เรื่องของ "ผิง" 

ภายใต้คำว่าครอบครัว คุณมีความเข้าใจมากแค่ไหนกับคำๆนี้
องค์ประกอบที่จะมาเติมเต็มให้สมบูรณ์ บางครั้งใครบางคนอาจละเลยที่จะสนใจ
จนปล่อยให้เวลามันผ่านเลยไป จนบางครั้งอาจสายเกินไปที่จะแก้ไข

อดีตย้อนกลับไม่ได้อีกแล้ว อยู่ที่ปัจจุบัน
คุณ..จะทำอย่างไรถึงจะรักษาคำว่าครอบครัวเอาไว้ได้นานๆ

"ผิง" เสียงแม่เรียกลูกสาวคนโต
ไม่มีเสียงตอบ เงียบ
"ผิง" หยาบแล้วสิ
"มีอะไร" ผิงส่งเสียงตอบ
"เออ ขานได้เพราะมาก"
ก็เรียกได้เพราะเหมือนกันหละ ผิงคิด
นั่นเป็นการสนทนาที่ดูไม่ถูกคอเอาซะเลยว่ามั้ย

จริงๆแล้วครอบครัวนี้ เมื่อมองภายนอกเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง
อบอุ่น และดูรักกันดี
อาการก้าวร้าวที่เกิดขึ้นกับผิง มันเกิดมานานแล้ว
พร้อมกับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่
และโดยที่ไม่เคยได้ระบาย
ถ้าคุณเป็นคนที่มองจากภายนอก เธอเป็นคนร่าเริง นิสัยดี และน่ารัก
นั่นคือสิ่งที่คุณเห็น
เหมือนว่าเธอจะเป็นคนที่มีความสุข เข้มแข็ง และมีความคิดนั่นหละ

ครอบครัวของผิงมีด้วยกันสี่คน ผิงมีน้องสาวน่ารักอีกหนึ่งคน
จะว่าไปแล้วสองพี่น้องนี่ก็ดูจะรักกันดี แต่ไม่รู้เพราะอะไร
การที่ผิงเติบโตจากครอบครัวที่มีแต่การบังคับ และต้องเดินตามหมาก
มันไม่สามารถทำให้เธอเดินออกนอกลู่นอกทางอย่างเด็กคนอื่น ไม่เที่ยว
ไม่ติดยา  ไม่ติดเพื่อน แต่นั่นหละที่คุณไม่รู้

คนภายนอกมองว่าเธอเป็นเด็กที่สมบูรณ์พร้อม ไม่มีปัญหา เรียบร้อย และน่าคบ
มันก็จริง แต่ผิดกับที่บ้าน
เธอไม่ได้พูดจาเพราะและยิ้มแย้มเหมือนอยู่กับเพื่อน กับคนที่อยู่นอกบ้าน

ปัญหาภายในบ้าน ไม่ พ่อแม่ไม่ได้ทะเลาะกัน
แต่เธอเองที่มีปัญหากับทางบ้าน
ด้วยระบบความคิดที่ขัดแย้งและแตกต่างกัน
เธอมักจะเป็นเด็กที่ค่อนข้างคิดมาก
และขี้น้อยใจ พยายามบอกตัวเองว่า..เข้มแข็งไว้ผิง สักวันเค้าจะรู้เอง

และนั่นเป็นสิ่งที่เธอรอคอยมาตลอด ผ่านเวลาไปเป็นสิบปีแห่งการเฝ้ารอ
ไม่มีผล  ไม่มีใครรู้ว่าเธอต้องการอะไร ไม่มีใครถามว่าเธอเป็นอะไร
ไม่มีใครสนใจว่าเธอจะมีเหตุผลยังไง
มันเป็นอุปสรรคที่น่าท้อแท้เหลือเกิน

ผิงเริ่มที่จะมีปัญหากับสภาพจิตใจมาตั้งแต่เธอจำความได้ แต่ตอนเด็กๆ
เธอได้แต่โดนทำโทษโดยที่เถียงแบบเด็กๆ ทำงานเกินกว่าที่เด็กทั่วไปจำเป็น
ระบบความคิดของเธอ และเหตุผลจึงมีมากกว่าเด็กทั่วไป สามารถแยกแยะ
และมีความคิดที่จะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร

แต่ก็นั่นแหละ ความคิดบางอย่างของเธอก็ช่างเด็กซะเหลือเกิน
ก็มันน่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่ ความอบอุ่นที่เธอได้รับ
ไม่เพียงพอต่อสิ่งที่เธอได้รับอยู่ปัจจุบัน

วันหนึ่ง ผิงเดินไปข้างล่าง หลังจากที่เก็บตัวอยู่บนห้องมานาน
"ไปถ่ายรูปกันมั้ย" แม่ว่า
"อยากถ่ายรูปลูกสาวเอาไว้ดู ก้อดีนะ ถ่ายรูปครอบครัว" พ่อว่า
"อืม"

ผิงรู้สึกดีที่ครอบครัวของเธอจะได้ถ่ายรูปกันซะที
เธอเองไม่เคยมีรูปครอบครัว
ไม่เคยมีรูปพ่อแม่ ไม่เลย

และแล้ววันนั้นก็มาถึง
"พลอย ไปแต่งตัวสิ เดี๋ยวจะได้ไปถ่ายรูปกัน"
ผิงยังอยู่ข้างบน และกำลังเตรียมตัวที่จะไปถ่ายรูปเช่นกัน
พลอยแต่งตัวเสร็จแล้ว ผิงเองก็เช่นกัน
แต่ดูเหมือนว่าเธอเองจะลืมอะไรบางอย่างไว้
ผิงวิ่งขึ้นข้างบนอีกครั้งไปเอานาฬิกา แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอสักที

พ่อมาแล้ว
"เสร็จรึยัง" พ่อถาม
"เหลือยายผิง" แม่ตอบ "ทำอะไรชักช้า ชอบทำให้เสียอารมณ์อยู่เรื่อย
ไม่น่าพาไปไหนด้วยเลย"
ผิงได้ยินทุกอย่าง บ้านเธอใช่ว่าจะใหญ่โตซะเมื่อไหร่
ล้มเลิกการหา เธอเดินหน้าตาบอกบุญไม่รับลงไปข้างล่าง
"เป็นอะไรฮะยายผิง อืดอาดยืดยาด ทำไมไม่รู้จักเตรียมตัวให้พร้อม
แล้วดูหน้าตาสิน่ะ ไปไหนชอบทำหน้าบูด เสียอารมณ์จริงๆ" พ่อว่า
"วันๆเอาแต่นั่งจ้องทีวี แล้วก็ไปจ้องคอมต่อ และยังไปหมกตัวอยู่ในห้อง
อ่านแต่นิยายไร้สาระ ไม่รู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์กับเค้าบ้าง"
แม่พูดต่อ
และมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม และเย็นชา
"ผิงไม่ไปแล้ว ไปกันเถอะ" ว่าแล้วผิงก็รีบเดินขึ้นห้อง
ตามด้วยเสียงที่ตะโกนไล่หลังต่อมา
"ไม่พอใจรึไง ทำเป็นโกรธ ดูไม่ได้" แม่ว่า " มีสิทธิ์อะไรมาโกรธ
วันๆเอาแต่ไร้สาระ ทำอะไรไม่ได้เรื่องซักอย่าง"

ผิงอยากตอบกลับไป แต่เธอบังคับใจไม่ให้พูดต่อ
เดี๋ยวเรื่องมันจะยาวกว่านี้ เธออยากตอบกลับไปเหลือเกินว่า ..
ในเมื่อผิงจะเป็นตัวถ่วง
ไม่ดีเหรอที่ผิงจะไม่ต้องไปนั่งหน้าบึ้งให้เสียอารมณ์
ไม่ดีรึไงที่จะไม่ต้องเห็นหน้าผิง ผิงมันน่ารำคาญนี่นา

ไม่มีใครมาง้อเธอ แน่นอนหละ ทุกคนเดินออกจากบ้านไปขึ้นรถ
และจากเธอไปในไม่ช้า
ในวินาทีนั้นเอง เธอบอกกับตัวเองว่า เธอไม่เหลือใครจริงๆ ไม่มีใครสนใจเธอ
ไม่มีใครคิดจะใส่ใจความรู้สึกของเธอ ไม่รู้จะระบายให้ใครฟัง
ไม่มีใครที่เธอจะพูด ระบายทุกเรื่องได้ ไม่มีเลย
เพื่อนสนิทซักคนเธอยังไม่มี
เพื่อนที่พร้อมจะรับฟังและให้คำปรึกษากับเธอทุกเรื่อง

เวลาผ่านไปจนกระทั่งฟ้ามืด ยังไม่มีใครกลับมา ผิงเอาแต่นั่งๆนอนๆ
อยู่ในบ้าน
ไม่มีอะไรทำ หลังจากที่พ่อ แม่ และพลอยจากไป เธอก็เอาแต่นั่งเงียบ
ไม่มีน้ำตาออกมา ทั้งที่อยากจะร้อง และตะโกนออกมาดังๆ
แต่ทำไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ

ในที่สุด พ่อแม่ และน้องสาวของเธอก็กลับมาแล้ว ซื้อของกิน ขนมมาเยอะแยะ
ผิงรีบวิ่งลงข้างล่าง แต่จู่ๆ เธอก็หยุดชะงัก
และนั่งอยู่ที่บันไดชั้นบนอย่างเงียบๆ

ไม่มีใครเรียกเธอ เหมือนเธอเป็นส่วนเกินในบ้าน
พวกเขาคุยกันอย่างสนุกสนานและกินขนมกันอย่างเอร็ดอร่อย
ไม่มีเธออยู่ในนั้น
ไม่มีใครสนใจที่จะเรียกเธอ หรือแม้แต่จะพูดถึง

ความรู้สึกน้อยใจพรั่งพรูออกมาแล้ว มันไม่ได้เป็นครั้งแรก
แต่มันหลายครั้ง หลายเรื่อง และมันบั่นทอนจนเกินกำลัง เธอไม่มีใครจริงๆเหรอ
ไม่มีแม้แต่คนที่อยู่ด้วยกันทุกวัน ใกล้กันแค่นี้เอง
แต่กลับเหมือนคนไม่รู้จักกัน เหมือนคนที่อยู่ห่างไกล เหมือนเธอไม่มีตัวตน

ผิงแสร้งเดินไปกินน้ำ และทั้งหมดเห็นเธอแม่ลุกขึ้นและเดินผ่านเธอไป
ด้วยสายตาที่เย็นชา และนิ่งอย่างที่เป็นเสมอมา
พ่อและน้องดูทีวีอย่างไม่สนใจเธอ.. ข้อพิสูจน์ชัดแจ้งแล้ว
ไม่มีใครอยู่กับเธอจริงๆ

ผิงเดินขึ้นข้างบนอีกครั้ง เธอเดินขึ้นไปที่ดาดฟ้าอย่างเงียบกริบ
น้าใสๆไหลออกจากตาเธอแล้ว นั่นเธอแสดงความอ่อนแอออกมาแล้ว
รับไม่ไหวอีกแล้ว  น้ำตาที่ถูกเก็บไว้นานได้ออกมาแล้ว
เธอเคยสัญญาว่าจะร้องไห้แบบนี้เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อคราวก่อน
และหลายๆครั้ง  แต่เธอผิดสัญญากับตัวเอง  เธอร้องอีกแล้ว

ผิงปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาที่สูงที่สุด
อย่างที่เธอเคยทำทุกครั้งที่เธอเศร้า
และต้องการอยู่เพียงลำพัง มันเป็นเรื่องไร้สาระของเด็กๆ
ที่นั่งจ้องมองดูดวงดาว และคุยกับมันอย่างสิ้นหวัง
เกินจะทนแล้วดาวจ๋า ท้อจนไม่รู้จะท้อยังไงแล้ว ล้มจนแทบจะไม่อยากลุกแล้ว
นี่ผิงไม่มีใครเลยจริงๆเหรอ
แม้แต่เธอผิงเองก็ยังไม่แน่ใจว่ากำลังฟังผิงรึเปล่า
ไม่ค่อยมีใครยอมฟังผิง
ทำอะไรก็ผิด พูดอะไรก็ผิด ไม่ได้เรื่องซักอย่าง
บางทีผิงอาจจะเป็นอย่างที่แม่กับพ่อว่าก็ได้ ผิงมันไม่ดีเอง แต่
ผิงแค่อยากให้พ่อกับแม่เข้าใจผิงบ้าง รับฟังผิงหน่อย แต่ดาว.. เธอรู้มั้ย
ผิงไม่เคยพูดอะไรได้เลย ปรึกษาอะไรกับเค้าไม่ได้เลย เค้าไม่ฟังผิง ไม่เลย
ไม่สักนิด ทุกอย่างเค้าคิดเอง เค้าเออเอง เค้าตัดสิน
เมื่อเค้าไม่ชอบคือผิด
ผิงไม่รู้ว่าเค้าอคติรึเปล่า แต่ที่แน่ๆ ผิงไม่มีใครสักคน ไม่มีคนรับฟัง
จะอยู่ต่อไปดีไหมดาว หรือว่าถึงเวลากล่าวคำอำลาแล้ว

วันต่อๆมา ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่มีใครพูดกับเธอ
มีแต่พลอยที่พูดบ้าง
แต่พลอยก็ยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจ
ถึงแม้ว่าพลอยเองจะรับฟังได้ แต่พลอยก็ไม่เข้าใจ และที่สำคัญ
เธอไม่สามารถให้คำปรึกษาอะไรได้เลย

ปิดเทอมนี่เหงาเหลือเกินกว่าที่จะหาอะไรมาทำให้จิตใจเบิกบาน
ต้องอยู่กับตัวเอง
อยู่กับห้องแคบๆ อยู่กับจินตนาการที่ฟุ้งซ่านไปวันๆ

ผิงนั่งอ่านหนังสืออยู่ แม่เดินเข้ามา และถึงแม้ว่าแม่จะพูดกับเธอแล้ว
แต่มันก็เป็นประโยคที่เธอเองไม่ต้องการได้ยินนัก

"วันๆทำอะไรบ้าง เคยคิดจะช่วยงานบ้างไหม งานการไม่รู้จักทำ แล้วนี่อะไร"
แม่หยิบหนังสือของเธอขึ้นมาจากมือผิง "นิยาย" ว่าแล้วแม่ก็โยนมันลงพื้น
เหมือนกับว่ามันเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่ง
ผิงมองตามด้วยสายตาเช่นที่เป็นอยู่ทุกวัน สายตาที่เศร้าหมอง เมินเฉย
และไร้ความรู้สึกเหมือนไม่มีวิญญาณ
"ไร้สาระ เคยทำตัวให้เป็นประโยชน์อะไรบ้างไหม" แม่ถาม
ในที่สุดผิงก็ตัดสินใจพูดออกไป
มันคงเป็นทางเดียวที่จะทำให้แม่รับรู้ว่าเธอคิดยังไง
"ไม่เสมอไป นิยายสร้างอะไรหลายๆอย่าง ไม่อยากติดอยู่กับความจริง
มันไม่มีอะไรที่น่าดู โหดร้ายเกินไป
บางครั้งมันอาจจะดีกว่าถ้าหลงลืมความจริงไปได้"

"บ้า" แม่ว่า
"ผิงน่ะเหรอ" ผิงเริ่มหันหน้ามามองแม่ จากน้ำเสียงที่อ่อย
ตอนนี้กลับดูดุดันขึ้น "แม่เคยรู้อะไรบ้างมั้ย ทำไมผิงเป็นแบบนี้
เคยรู้มั้ยว่าผิงรู้สึกยังไง ทำไม เคยเข้าใจบ้างไหม
ผิงทำงานนะไม่ใช่ไม่ทำ
แต่แม่หวังกับผิงมากเกินไป แม่ต้องการให้ผิงทำอะไร งานบ้านผิงก็ทำแล้ว
แม่ยังต้องการแม้กระทั่งวงการชีวิตและความสุขของผิง ผิงเป็นตุ๊กตาเหรอ
แม่ว่าผิงแม่เคยรู้มั้ยว่าจริงๆผิงคิดอะไรอยู่
เคยรู้มั้ยว่าผิงทำอะไรบ้าง
แล้วเคยรู้รึเปล่าว่าที่ว่าๆมาน่ะ ไม่แค่ผิง แม่เองก็เป็น"
เพี้ย!!
แม่ตบหน้าผิงดังฉาด
"ยายผิง มันจะก้าวร้าวไปแล้ว" ผิงไม่ยอมเลิกลา เธอยังคงพูดต่อ
"ใช่.. แล้วรู้มั้ยทำไม เพราะแม่ไม่เคยแสดงความอ่อนโยนให้ผิงเห็น
ไม่เคยทำอย่างที่แม่ต้องการให้ผิงทำ
ไม่เคยเป็นอย่างที่แม่ต้องการให้ผิงเป็น
ไม่เคยเป็นตัวอย่าง จริงอยู่แม่เป็นแม่ ผิงต้องเคารพเชื่อฟัง แล้วไงล่ะ
แม่สามารถชี้ผิดชี้ถูกผิงได้โดยที่เหตุผลจะเพียงพอหรือไม่ก็ตาม
แล้วผิงเองต้องยอมรับใช่ไหม
เพี้ย!! อีกฉาด
"กล้าดียังไงมาสั่งสอนฉัน ฉันเป็นแม่แกนะ
รอแกเป็นแม่ฉันซะก่อนถึงจะมีสิทธิ์มาพูดอย่างนี้"
"บอกซิว่าที่ผิงพูดน่ะไม่จริง บอกสิว่าผิงเข้าใจผิด
บอกสิว่าแม่เข้าใจผิงทุกเรื่อง บอกสิว่าแม่เคยรับรู้ว่าผิงคิดอะไร
บอกสิว่าเคยคิดว่าผิงเป็นลูกของแม่ เป็นคนในครอบครัว
ไม่ใช่คนนอกที่หลงเข้ามา" น้ำตานองหน้าแล้ว
อารมณ์ตอนนี้กลั้นไม่อยู่อีกแล้ว
แม่นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วเดินจากเธอไปด้วยท่าทีที่แสนเย็นชา

ผิงซุดตัวฮวบลง วันที่เลวร้ายมาถึงแล้ว
ผิงขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้าตามปกติที่เธอเคยทำ และเฝ้ามองดวงดาวด้วยน้ำตา
ความเข้มแข็งมลายหายไปแล้ว
ถึงเวลาแล้วดาวจ๋า ผิงไม่เหลือใครอีกแล้ว คนที่ผิงรอเขามาทั้งชีวิต
เขาจากไปแล้ว ไม่มีความหวังหลงเหลือแล้ว ผิงรักพวกเค้ามาก
แต่ผิงไม่เคยได้รับมันตอบ ผิงไม่โทษพวกเค้าที่ทำแบบนี้
ผิงผิดเองที่มาเกิดในที่ที่เค้าไม่ต้องการ เวลาของผิงหมดลงแล้ว
เหลือโอกาสอีกเพียงครั้งเดียว บางทีเค้าอาจจะเข้าใจอะไรได้มากกว่านี้
คนเราจะรู้สึกว่าสิ่งนั้นมีค่า เมื่อสิ่งนั้นจากไปก็ได้

แล้วผิงก็สะดุดกับคำพูดตัวเอง คำพูดนั้นวนเวียนอยู่ในหัวเธอ
....คนเราจะรู้สึกว่าสิ่งนั้นมีค่าเมื่อสิ่งนั้นจากไปก็ได้....
สายฝนเริ่มกระหน่ำลงมาแล้ว มันตกแรงขึ้นทุกที
เมฆหมอกบดบังดวงดาวจนหมดสิ้น
ไม่เห็นดาวอีกแล้ว

แม้แต่เธอก็ยังจากฉันไปในเวลาที่ฉันไม่มีใคร ผิงนึก
เธอยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น ไม่เคลื่อนที่ สายฝนเทกระหน่ำอย่างไม่ละวาง
นี่มันต้องการซ้ำเติมใช่ไหม ผิงคิดถึงข้อนี้
และเธอเองไม่คิดจะหนีมันอีกแล้ว
เมื่อฟ้าต้องการให้มันเป็นไป เธอจะทำตามที่เขากำหนด

ผิงนั่งอยู่อย่างนั้นจนเช้า ไม่มีใครพบเธอ ไม่มีใครเห็นเธอ
และที่สำคัญไม่มีใครหาเธอ
พ่อเดินออกจากห้องนอนมาล้างหน้าแปรงฟัน มีบางสิ่งที่ผิดสังเกต
ประตูดาดฟ้าเปิดอยู่ พ่อเดินไปอย่างสงสัย ไม่มีอะไรอยู่บนนี้
ไม่มีอะไรอยู่ที่พื้น เว้นแต่.
บนหลังคานั่น ร่างเด็กสาวนั่งกอดเข่าอยู่ หน้าตาซีดเผือด
พ่อเห็นดังนั้นก็ตกใจ
และรีบปีนขึ้นไปพาตัวลูกสาวลงมาอย่างยากลำบาก

สติสัมปชัญญะหายไปสิ้นแล้วจากตัวเธอ เธอหลุดไปอยู่ในภวังค์แล้ว
ไม่รับรู้ และไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป พ่อพาเธอไปโรงพยาบาล
และหลายวันมานี้
เธอนอนนิ่งอยู่บนเตียงสีขาว ในเสื้อและกางเกงสีฟ้าของโรงพยาบาล ไม่กิน
ไม่รับรู้ พ่อแม่และน้องของเธอมาเฝ้าเธอทุกวัน ผิงเองลืมตาอยู่
แต่ดวงตานั้นช่างเศร้าหมองและสงบนิ่ง

"หาเรื่องจนได้" แม่พูดอยู่ข้างเตียง
"อะไรอีกล่ะ" พ่อถามอย่างรำคาญ
"อ้าว ก็ทำเรื่องจนตัวเองป่วยหนัก เปลืองเงินเปลืองทองมารักษา
แล้วยังเอามาโรงพยาบาลเอกชนอีก ค่ารักษาแพงจะตาย
เอาไปไว้โรงพยาบาลหลวงดีกว่า
ช้าแต่ถูก"
พ่อส่ายหน้าอย่างรำคาญใจ
ไม่มีใครเห็นเลยสักคน น้ำใสๆไหลออกจากตาผิงไม่ขาดสาย
เธอรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ได้ยินทุกประโยคที่พูดมา

พ่อแม่และน้องสาวของผิงออกจากห้องไปพร้อมกันเพื่อไปหาอะไรกิน
พ่อเดินออกจากห้องไป
"คุณพ่อครับ มีเรื่องคุยด้วยหน่อย" หมอเรียกพ่อ
พ่อทำหน้าตาอย่างสงสัยแล้วเดินตามไป

"คิดว่าคุณน่าจะรู้ว่าลูกคุณมีปัญหาอะไร"
"ครับ" เสียงนั้นตอบกลับอย่างตั้งคำถาม
"สภาพจิตใจของเด็กไม่สู้ดีนัก เธอเป็นหวัด
แต่ร่างกายไม่สั่งการให้ไอ จาม และยังไม่รับรู้อะไรอีก อาการหนักนะครับ
ผมว่าเรื่องบางเรื่องหมอก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ถ้าสภาพจิตใจไม่รับ
ร่างกายก็ไม่รับเช่นกัน"

พ่อเดินออกไปอย่างครุ่นคิด และเมื่อออกนอกตึกโรงพยาบาล
เสียงตะโกนหนึ่งก็ดังเข้าหู
มีคนจะกระโดดตึก!! เสียงนั้นร้องอย่างตกใจ
จากข้างล่างนี้มองเห็นไม่ชัดเจนว่าเป็นใคร
พ่อรีบวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังห้องของลูกสาวที่นอนป่วยอยู่ ประตูถูกเปิดดัง
ปัง!!
ไม่มี ผิงหายไป สายน้ำเกลือถูกถอดออก ไม่
พ่อรีบวิ่งไปที่ดาดฟ้า พร้อมกับแม่แล้วลูกสาวคนเล็กที่วิ่งตามไปติดๆ
และสิ่งที่เห็นคือ เด็กสาวคนหนึ่ง เธอเอาชีวิตของเธอไปแขวนอยู่บนเส้นด้าย
เธอกำลังยืนอยู่บนระเบียงของตึกที่สูงจากพื้นถึงห้าสิบเมตร

"ผิง" พ่อร้องอย่างตระหนก
ผิงยังคงยืนนิ่งมองโลกกว้างออกไป สายตามองตรง
และในแววตานั้นเศร้าหมองเหลือเกิน
พ่อเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น แม่เองก็เช่นกัน
พลอยยืนร้องไห้อย่างไม่มีสติอยู่
สายตานิ่งสงบของลูกสาวทำให้พ่อกลัวยิ่งนัก มันเป็นลางที่ไม่ดีเอาซะเลย

"ถึงเวลาแล้วค่ะพ่อ" ผิงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ก็ฟังได้อย่างชัดเจน
"ผิงขอโทษถ้าทำอะไรให้พ่อกับแม่ไม่พอใจ ขอโทษที่ไม่เคยเป็นลูกที่ดีเลย
ไม่เคยทำให้พ่อแม่ได้ภูมิใจ มันคงจะดีถ้าผิงจะไม่อยู่ให้รบกวนพ่อแม่อีก
ไม่มีหน้าให้แม่มองแล้วรำคาญใจ"
"ไม่นะผิง ลงมานะ" แม่ร้อง
"มันคงถึงเวลาซะที เวลาของผิงหมดแล้ว นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้าย
ผิงรักพ่อกับแม่นะคะ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยพูด อยากให้พ่อกับแม่เข้าใจ
ผิงไม่ได้ตั้งใจทำให้พ่อแม่ต้องรำคาญ ผิงจะคืนเวลาที่มีค่า ความสุข
ไม่ต้องลำบากอีกแล้ว ผิงจากไปจากโลกนี้
หวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้พ่อกับแม่มีความสุข
สิ่งสุดท้ายที่ผิงอยากขอ บอกหน่อยได้ไหมคะ รักผิงบ้างรึเปล่า"
"พ่อกับแม่รักลูกเสมอ" พ่อบอก
ไม่มีคำตอบจากแม่ ผิงรอคอยคำตอบนั้นอย่างอดทน
ดูเหมือนแม่จะนิ่งและไม่ยอมตอบเธอ
"ลาก่อนค่ะ" เป็นคำพูดครั้งสุดท้าย คำสุดท้าย
และพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้ฟังอีกต่อไป
พ่อรีบกระโดดคว้าตัวลูกสาว แต่สายไปซะแล้ว สายเกินไปแล้ว

"แม่รักลูกนะผิง" แม่ตะโกนลงมาอย่างสุดเสียง
นึกเสียใจว่าทำไมถึงไม่ยอมพูดแต่แรก
น้ำตาไหลออกจากตาของผิง
ขอบคุณค่ะแม่ แต่สายไปแล้ว ผิงยิ้มอย่างมีความสุข
เธอจากไปอย่างหมดห่วงแล้ว
ชีวิตที่มีครั้งเดียวของเธอได้สิ่งที่ต้องการเมื่อวินาทีสุดท้ายที่มันจะพรากจากโลกนี้ไป

เวลา คำพูด โอกาส สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
แต่ชีวิตที่มีเพียงครั้งเดียว
ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว เมื่อสิ่งที่ต้องการเป็นดังหวัง
อย่าได้หวังอะไรมากจนกระทั่งจากไปอย่างไม่มีความสุข. ลาก่อนผิง 

Credit : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=oo-imaginewing-oo&month=12-2007&date=12&group=4&gblog=18

พระจันทร์ 2 ดวง

       ในสมัยอดีต...ขณะที่บนฟ้ายังมีพระจันทร์ 2ดวง คือ พระจันทร์ชายและพระจันทร์หญิงทั้งสองดวงรักกันมาก ต่างช่วยกันส่องแสงลงมาบนพื้นโลก เพื่อให้โลกในยามค่ำคืนสวยงาม  แต่แล้ว....วันหนึ่ง ขณะที่ฟ้าใกล้สาง หมดหน้าที่ของดวงจันทร์ทั้งสอง พระอาทิตย์ตื่นนอนเร็วกว่าปกติ จึงเปล่งแสงออกมาทั้ง ๆที่ดวงจันทร์ยังไม่ลับขอบฟ้า
      แสงสีทองทาทับไปทั้งขอบฟ้าและผืนโลกอบอุ่น อ่อนโยน หากแต่ทรงพลัง พระจันทร์หญิงตกหลุมรักพระอาทิตย์ทันที เธอละทิ้งพระจันทร์ชาย แล้วเฝ้าลอยติดตามเงาของพระอาทิตย์ไปทุกหนทุกแห่ง พระจันทร์ชายได้แต่เศร้าโศกเสียใจและเฝ้าลอยติดตามพระจันทร์หญิงไปทุกหนทุกแห่งเช่นเดียวกัน
สุดพื้นดินจรดขอบฟ้า ทั่วป่าเขา และโลกใบกว้างหากแต่เขาก้อไม่เคยได้พบพระจันทร์หญิงอันเป็นที่รักเลยสักครั้ง จนในที่สุด...พระจันทร์ชายก้อระเบิดตัวเองเป็นสะเก็ดเล็กสะเก็ดน้อยเต็มท้องฟ้าเพื่อหวังจะตามหาพระจันทร์หญิงให้เจอ แต่เขาก้อกลับต้องสูญเสียลมหายใจไป
แล้ว...วันหนึ่ง พระจันทร์หญิงก้อกลับขึ้นมาบนท้องฟ้าอีกครั้ง เพื่อพบพระจันทร์ชายอันเป็นที่รัก  เธอได้ตระหนักแล้วว่า...พระอาทิตย์ไม่มีทางจะหันมามองและรักเธอเพียงดวงเดียวเพราะแม้พระอาทิตย์จะมีแสงอันอบอุ่น อ่อนโยนหากแต่แสงนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อเธอเพียงดวงเดียวไม่ว่าจะเป็นคน ต้นไม้ สิ่งมีชีวิตบนพื้นโลก ต่างได้รับแสงนั้นเท่าเทียมกัน แต่ไม่ว่าเธอจะลอยไปที่ใดก้อตาม ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหน ก้อไม่ได้พบแม้แต่เงาของพระจันทร์ชาย นั้นเพราะเขาได้ระเบิดตัวเองไปเสียแล้วพระจันทร์หญิง ได้แต่เฝ้าโศกเศร้าเสียใจ
      แล้วสะเก็ดเล็ก ๆบนฟ้าก้อพร้อมใจกันกระพริบพราวทั่วทั้งฟ้า เพื่อปลอบใจเธอ มันเป็นความตั้งใจสุดท้ายของพระจันทร์ชายนั้นเอง เพื่อที่จะฝากสะเก็ดเล็ก ๆนั้นบอกกับพระจันทร์หญิงว่า "เขาคิดถึงและรักเธอ" ตั้งแต่นั้นมาคืนไหนที่เห็นพระจันทร์ ก้อจะได้เห็นสะเก็ดเล็ก ๆ นั้นกระพริบพราวอยู่ไมห่าง แล้วต่อมาใครต่อใครต่างพากันเรียกมันว่า "ดวงดาว


Credit : https://writer.dek-d.com/dekdee/writer/viewlongc.php?id=428143&chapter=6